ตอนที่ 3 เที่ยวเวียดนามเหนือ หน้าฝน 16 วัน
เดียนเบียนฟู หากเราต้องไปเมืองนี้จาก ฮาซาง ก็ยังงงกับการหาตารางรถที่หาไม่ได้อยู่ เราเลยขอทดไว้ในใจก่อน เมื่อเสร็จทริปกับเพื่อนที่ฮาซางแล้วเราก็ต่อรถเพื่อมาซาปาในคืนนั้นทันที เพราะวันรุ่งขึ้นเพื่อนของเรามีออกทริปกับลูกค้ากลุ่มใหม่ตั้งแต่เช้า นอกจาก เดียนเบียนฟู แล้วเรายังมีอีกสองสามที่ที่จะเอามาชั่งใจ เลยใช้ซาปาเป็นเมืองพักสักวันสองวันแล้วค่อยตัดสินใจอีกทีหนึ่ง
คืนเดินทางในรถเรานอนไม่ค่อยหลับ นั่งดูแต่รูปฮาซางทริปที่ผ่านมาอยู่ตลอด ในใจยังไม่อยากจากมาสักเท่าไหร่ กลัวการตัดสินใจที่เหมือนจะเด็ดขาดแต่ไม่ฉลาดของตัวเราเอง เมื่อไม่อยู่ฮาซางต่อก็ควรไปเมืองอื่นๆที่ยังไม่เคยไป ได้แต่สะกดจิตตัวเองไว้ด้วยคำดังกล่าว (ตอนแรกอยากกลับไป Dong Van ที่เคยมาแล้วถึงสองครั้ง แต่เราก็แอบตั้งกฎเล็กๆเอาไว้ในคราวนี้ว่าจะไม่เที่ยวที่ไหนซ้ำอีกถึงแม้จะชอบมาก จะได้ไปเห็นอะไรอย่างอื่นบ้าง) รถมาถึงซาปาตอนตีสอง เรานั่งแท็กซี่ต่อไปยังที่พักตรงเนินเขา อากาศที่ซาปาช่างเย็นสบาย พอเข้าห้องเราเลยเปิดหน้าต่างนอนต่อจนถึงตอนเช้าเลย
ช่วงสายเราออกไปเดินหาของกินกับสอบถามตารางเดินรถ เมืองที่คิดเอาไว้ว่าอยากไปที่นอกจาก เดียนเบียนฟู แล้วก็ยังมี Mu Chang Chai ที่เป็นจุดชมนาขั้นบันไดอีกแห่งที่ดังมากในเวียดนาม ส่วนอีกที่ก็คือ Y Ty (อีตี๋) หมู่บ้านบนภูเขาที่มีทุ่งข้าวอีกเช่นกัน แต่ที่นี่ต้องขี่มอเตอร์ไซค์ไปเองจากซาปากว่า 70 กิโลเมตร ยังไงก็ตามเราขอเช่ารถขี่เที่ยวเล่นทุ่งนาใกล้ๆซาปาดูก่อน เพราะคราวที่แล้วมาหน้าหนาวมีแต่ตอข้าวสีน้ำตาล เราได้แต่คิดว่าถ้ามีต้นข้าวเต็มทุ่งนาที่นี่จะต้องสวยมากแน่ๆ
Ruong Bac Thang เป็นหมุดที่เราปักเอาไว้ เมื่อถึงที่หมายก็ขี่เข้าไปตามทางหมู่บ้านเรื่อยๆ ที่นี่มีเนินน้อยใหญ่ทำให้เห็นทุ่งข้าวได้อย่างสวยงาม ถ้าใครมีเวลาไม่มากที่จะไปไกลถึงฮาซาง เราว่าเป็นตัวเลือกที่ดีเลยสำหรับการท่องเที่ยวเยี่ยมชมทุ่งข้าว ถึงที่นี่จะสวยดีแต่ในใจก็กลับคิดถึงผู้คนที่ฮาซางมาก อยากมีโอกาสกลับไปชมทุ่งข้าวสีเหลืองทองแบบนี้ที่นั่นบ้างก็คงดี ถึงตัวจะมาเมืองอื่นแล้วแต่ใจก็ยังมูฟออนจากฮาซางไม่ได้เลยจริงๆ
รถมอเตอร์ไซค์ที่เราเช่าค่อนข้างเก่า มันชอบดับเวลาลงเขาอยู่ตลอด พอขี่ในถนนที่ขรุขระเจ้าขาตั้งตัวดีมันก็ดีดกลับลงมาโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว จึงทำให้รถล้มลงตอนเลี้ยวโค้ง เราเจ็บตัวนิดหน่อย แต่ในใจได้แต่คิดน้อยใจว่า ในเมื่อซาปาไม่รักเรา เราก็จะไม่รักซาปา ไปเมืองอื่นต่อก็แล้วกัน รถคว่ำทำให้ตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้น พอกลับเข้าเมืองเราก็ไปต่อว่าร้านเช่า เพราะสปิงอันละแค่สี่สิบบาททำไมถึงไม่ยอมเปลี่ยน ปล่อยให้เราเป็นเหมือนคนแก่ที่หย่อนยานสะดุดนมตัวเอง มันอันตรายมาก
เที่ยวรถที่จะไป เดียนเบียนฟู จะมีอีกทีก็วันรุ่งขึ้นในตอน 18.30 ช่วงเวลาที่ประหลาดก็จะทำให้เราไปถึงเมืองในเวลาที่ประหลาดด้วยเช่นเดียวกัน นั่นก็คือตีสอง เราจองรถเที่ยวนั้นแบบเลือดออกซิบๆรู้สึกเหมือนโดนฟัน เพราะราคา 480,000 ดองมันออกจะดูเกินเลยไปหน่อย แต่เอเจ้นท์ก็เน้นย้ำว่าเป็นรถตู้นอน Luxury ไม่ได้เป็นรถธรรมดา
ซาปาในวันนี้ต่างจากที่เราเคยมาเมื่อห้าปีก่อน Sun Plaza ที่มีรถรางไปขึ้นเคเบิลคาร์เพื่อไปยอดฟานซิปันก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฝุ่นโคลนเสียงดังจากปั้นจั่นที่เคยมีก็หายไปหมด อากาศที่นี่เย็นสบายน่าเดินเล่นมากจริงๆ ตกเย็นที่ลานกว้างกับริมทะเลสาบก็มีผู้คนมาออกกำลังเล่นกีฬา เป็นเมืองที่ดูน่าอยู่กว่าเมื่อก่อนมากเลยทีเดียว จะติดอยู่ก็ที่ยังมีเด็กน้อยออกมาเร่ขายของให้นักท่องเที่ยว ซึ่งก็มีการรณรงค์กันอย่างหนักหน่วง แต่ก็ยังมีให้เห็นอยู่มากมาย
พอเริ่มชื่นชมได้ยังทันข้ามคืน ตกดึกเสียงเพลงที่ดังมาจากจอLEDยักษ์ บรรเลงเพลงที่มีจังหวะเหมือนใช้เต้นแอโรบิค (Broken hearted women เป็นเรฟเฟอร์เร้นซ์ที่ดีเพื่อให้เห็นภาพ) หัวค่ำยังพอทำเนา แต่นี่เล่นกันยาวนานจนถึงดึกดื่น ถ้าใครมาก็ควรหลีกเลี่ยงห้องพักที่หันไปทางลานกว้างหน้าโบสถ์ จะได้ไม่ต้องทนฟังเพลงแบบนี้จนหลับไป
ช่วงเช้าเราไปนั่งรถรางไปสถานีเคเบิลคาร์เพื่อไปยอดฟานซิปัน ครั้งก่อนทั้งหนาวและหมอกหนาจนได้แต่ยืนสั่นมองภาพที่มีแต่สีขาวๆอยู่บนยอดเขา ครั้งนี้มีเวลาเลยขอแก้ตัว เพราะตอนเช้าเราเห็นยอดเขาที่นานๆจะโผล่ให้เห็นโดยที่ไม่มีอะไรบัง เมื่อขึ้นไปถึงเมฆหนาก็เริ่มมาปกคลุม ทำให้เราได้แต่เห็นวิววับๆแวมๆอีกเช่นเคย
ตอนเย็นเรานั่งแท็กซี่มาลงที่จุดนัดขึ้นรถ ไม่นานรถลีมูซีนอันแสนแพงที่เราจองไว้ก็มาจอดรับ ของในรถแทบจะทะลักปลิ้นออกมาเมื่อคนขับเปิดประตู ความหรูหราที่วาดไว้ต้องกองทิ้งไว้ที่ข้างถนนตรงนั้น จำนวนผู้โดยสารพอดีคัน 9 คน พร้อมกับสัมภาระมากมายทั่วทั้งรถ จนใต้เท้าทุกคนจะต้องมีของอะไรสักอย่างวางอยู่
ในช่วงดึกทุกคนดูจะมีธุระกับโทรศัพท์เป็นพิเศษ ทั้งวีดีโอคอลกับแฟน เล่นเกมส์ROV ดูยูทูป ฟังเพลงและอื่นๆ แต่ดูเหมือนพวกเค้าจะลืมเอาหูฟังมากันทั้งคันรถ เสียงจึงตีกันไปมาหนวกหูจนน่างงงวย ฝรั่งสองคนที่นั่งหน้าเราดูหงุดหงิดมากขึ้น เมื่อเด็กหนุ่มข้างเราเอามือเท้าพนักพิงด้านหน้าพร้อมกับเปิดไฟพูดคุยโทรศัพท์อย่างเมามันออกรสอยู่บนหัวของผู้หญิงฝรั่ง สักพักนางก็คงจะแก้แค้นคืนด้วยการเปิดซีรีย์ “เฟรนด์” แบบไม่ต้องหรี่เสียงโดยเฉพาะตอนที่เอ็กตร้าหัวเราะ มันดังมากมาเป็นระยะๆ เราเสียวไส้ว่าอาจจะมีการหยุมหัวเกิดขึ้นในรถเร็วๆนี้อย่างแน่นอน
สองชั่วโมงผ่านไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น รถจอดที่เมืองๆหนึ่ง มีผู้โดยสารรุ่นคุณป้ามาอีกสองคนพร้อมสัมภาระเต็มอัตรา คนขับจัดที่จัดทางใหม่ให้นั่งเบียดกันพร้อมกับของที่อัดเข้ามาเพิ่มได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ท่านั่งของเราคือถ่างขายกวางบนกองกล่องโฟมและลังผลไม้ และหว่างขาเรานั้นก็คือเด็กหนุ่มที่เสียสละที่นั่งปกติให้กับคุณป้ามาคุดคู้นั่งทับบนลังเอาหัวพิงกระเป๋าโน้มไปด้านหน้าอย่างน่าเอ็นดู เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้แต่มารู้ตัวอีกทีคือคนขับมาเปิดประตูส่งเสียงดังลั่น สภาพคือขาครึ่งร่างเราชาจากการที่เด็กหนุ่มหงายหลังลงมานอนทับบนตักเราบวกกับท่านั่งที่เปลี่ยนอิริยาบถไม่ได้เป็นเวลานานหลายชั่วโมง จะเรียกว่าหลับสบายหรือสลบเหมือดกันไปทั้งคันก็แยกไม่ออกอยู่เหมือนกัน
คนขับมาส่งเราที่ตึกแห่งหนึ่งตาม google map เราปลุกพนักงานโรงแรมให้เปิดประตูตอนตีสองครึ่ง ในใจคิดว่าทำไมสภาพมันถึงไม่ตรงปกอย่างแรง แถมราคาที่แปะป้ายไว้ก็แพงแตกต่างจากที่เราเคยคุยจองไว้ในเฟสบุ๊คมากมายอยู่ เราเปิดรูปให้พนักงานดูอีกครั้งว่าที่นี่มันถูกต้องไหม เค้างัวเงียตอบแล้วทำมือเหมือนให้เดินเลยไปอีกด้วยความหงุดหงิดนิดหน่อย ที่นี่ชื่อเดียวกันกับที่เราจองมาแต่มีคำว่า Bao อยู่นำหน้า ถ้าปักหมุด An Lox hotel มันก็จะพามายังตึกแห่งนี้ เรารีบยกมือไหว้ขอโทษแล้วเผ่นออกมาทันที
ถนนดูโล่งมืดจนแอบน่ากลัว แท็กซี่ผ่านมาจอดถาม เรายื่นภาพให้ดู เค้าได้แต่ทำท่าให้เดินต่อไปเอง โบ้ยใบ้ว่าอีกนิดเดียวก็ถึง ทั้งๆที่เราทำท่าอยากให้เค้าไปส่งมากก็ตามที เราลองกดในเฟสบุ๊คให้นำทางแผนที่ แต่มันกลับโชว์ให้เดินวนไปมาเป็นวงกลมใหญ่เกือบสี่กิโลเมตร เราเดินมาจนถึงตลาดที่แม่ค้าเริ่มขนของมาเพื่อวางขาย เราสอบถามจนพวกเค้าหลายคนมามุงจนดูน่าวุ่นวายประมาณนึง พวกเค้าให้เราเดินกลับทางเดิมที่หลงมาในตรอกมืด เราได้แต่ถอนใจว่าภาพรีเซฟชั่นสีขาวที่จำมาจากในเน็ตมันไม่ได้ผ่านตาเลยจริงๆ เราเจอแท็กซี่อีกคันที่สวนมา พี่เค้าได้แต่ชี้นิ้วให้เรากลับไปทางโรงแรมเดิมที่มาผิด มันไม่ไกลให้เดินไปเองเถอะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ดูจากท่าทางและความน่าจะเป็น เพราะสิ่งที่ได้ยินมาเป็นภาษาเวียดนามล้วนๆเท่านั้น
เรายืนท้ออยู่ชั่วขณะ แต่ปลายตาเหลือบไปเห็นตัวอักษรคุ้นๆบนตึกสีขาวที่ปิดไฟมืด เรากลับพบว่าทั้งสองโรงแรมห่างกันไม่เกินห้าห้องของช่องตึก เมื่อไฟปิดมืดข้างล่างจึงยากที่จะมองเห็นรีเซฟชั่นด้านบนชั้นสอง ต้องเป็นกระรอกบนสายไฟเท่านั้นที่จะทำได้ นี่เราเดินหลงไปมาในถนนมืดกลางดึกอยู่นานเกือบชั่วโมง แต่ความกลัวที่มีในตอนแรกมันก็ค่อยๆผ่อนคลาย เมื่อผู้คนอื่นๆที่ได้พบเจอมาพูดคุย มันสัมผัสได้ว่าจริงใจ ที่นี่น่าจะปลอดภัยแบบหายห่วง ถ้าเป็นบางประเทศแท็กซี่อาจรับเราแล้วขับวนไปมาจึงค่อยไปส่ง ทั้งๆที่จุดหมายอยู่แค่ปลายจมูก ถึงจะเหนื่อยมากวันนี้แต่ก็มีความรู้สึกอะไรบางอย่าง ว่าคิดไม่ผิดที่ได้เดินทางมาเมืองที่หลายคนบอกว่าไม่มีอะไรให้เที่ยวใน เดียนเบียนฟู อย่างแน่นอน หรือจะเป็นการสะกิดต่อมมาโซคิสม์ที่มีอยู่ในตัว
เมือง เดียนเบียนฟู ในฐานะประวัติศาสตร์ยุคใหม่นับว่ามีความสำคัญมาก เพราะเป็นจุดที่มีการทำสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งกับสหภาพฝรั่งเศส ซึ่งทำให้เกิดสนธิสัญญาสันติภาพเจนีวา ก่อนที่จะเกิดสงครามเวียดนาม (ที่นี่จะเรียกว่าสงครามต่อต้านอเมริกา)ในเวลาต่อมา
ช่วงเช้าที่ว่ากันตามตรงเรายังคงอ่อนเพลียกับการเดินทางเวลาที่ผิดแปลกจากเมื่อคืน แต่พอได้ตารางเดินรถเพื่อไปยัง Mai Chau ในเวลา 16.30 จึงทำให้เราต้องออกเที่ยวในครึ่งเช้าให้ทัน จริงๆแล้วเมืองนี้ไม่ได้เป็นจุดหมายหลักที่คนจะแบบตั้งใจมา หากแต่จะข้ามชายแดนไปลาวหรือสำหรับคนที่สนใจเรื่องสงครามจริงๆถึงจะมุ่งตรงมายังเมืองแห่งนี้
ที่เที่ยวสำคัญของเมืองจะกระจุกอยู่ตรงกลางทำให้สะดวกกับการเดินสำรวจ เราเริ่มออกเดินจะไปที่เนิน A1 เป็นที่แรก ระหว่างทางผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายเรา รวมทั้งชวนนั่งคุยทั้งๆที่การสื่อสารไม่ได้ลื่นไหล คนไทดำจำนวนมากอยู่แถบนี้ ทำให้สามารถพูดคุยกับเราได้คล้ายคลึงกับภาษาไทยมากที่สุด แต่คำลึกๆแล้วก็ยังแตกต่างจนทำให้ยืนงงกันได้ทั้งสองฝ่าย คนที่นี่น่ารักมาก อย่าให้ได้เห็นก้มดูโทรศัพท์หาทาง เค้าจะเอ่ยปากถามเราก่อนทั้งๆที่ยังไม่ได้เงยหน้าสบตาด้วยซ้ำไป ถ้าเห็นเดินกินน้ำก็จะกวักมือเรียกให้นั่งลงกินก่อนแล้วค่อยไป
เนิน A1 เราเดินเลยทางเข้าไปแบบไม่รู้ตัว คนท้องถิ่นร้องทักเมื่อเราเดินมาผิดทาง ที่แรกเลยกลายเป็น Dien Bien Phu Victory Museum จริงๆไม่ได้คาดหวังมากกับที่นี่ แต่เมื่อเข้าไปในฮอลหลักที่มีภาพวาดโค้ง360องศา เรากลับขนลุก หญิงสาวบรรยายสดประกอบการส่องสปอร์ตไลท์ไปตามตำแหน่งต่างๆ ถึงฟังไม่ออกสักคำแต่บรรยากาศของคนดูทำให้คล้อยตามได้ไม่ยากจริงๆ ผู้มาชมส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวท้องถิ่นและทหารผ่านศึก เมื่อจบการบรรยายสดก็จะเป็นการเดินชมข้าวของสงครามที่จัดไว้เป็นอย่างดี ความภาคภูมิใจไม่ว่าจะเป็นยุทธการเดียนเบียฟูหรือสงครามต่อต้านอเมริกานั้นมันยิ่งใหญ่มากมายนัก เมื่อเทียบกับจำนวนทหารกับข้าวของเครื่องใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ต่างกันฟ้ากับเหว แทบจะเรียกได้ว่าเอาข้าวสารมาเขวี้ยงใส่เครื่องบินกันเลยทีเดียว แต่ชัยชนะที่เกิดขึ้นมันคือความมานะอดทนและการร่วมใจของผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ จึงทำให้เกิดความสำเร็จได้
จริงๆคนเวียดนามเกลียดสงครามมากเท่าที่เราพูดคุย มันทำให้รอยยิ้มห่างหายไปจากใบหน้าผู้คนได้หลายรุ่นหลายสมัย พิพิธภัณฑ์สงครามจึงเสมือนเครื่องเตือนใจในสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นและแสดงความงดงามของความรักจากคนในชาติที่ร่วมใจกันมากกว่า
จุดต่อมาที่เราเดินไปคือเนิน A1 สนามรบที่มีชื่อเสียงเป็นการเปิดฉากการรบที่ดุเดือดที่สุด นอกจากหลุมระเบิดขนาดใหญ่ และอุโมงค์ทางเดินใต้ดินแล้ว ทางด้านหลังยังมีอนุสรน์สถานที่สร้างแบบสมัยใหม่อีกด้วย เราเดินเที่ยวจนวนออกมาถึงทางเข้า เห็นกุญแจล็อคประตูอย่างแน่นหนา บูธขายบัตรก็ปิดจนเหมือนร้าง ที่เที่ยวแถวนี้จะหยุดทำการตั้งแต่ 11.00 -13.30 แต่เราก็ไม่นึกว่าจะคนในไม่ให้ออกคนนอกไม่ให้เข้าถึงเพียงนี้ เรายืนเหม่ออยู่พักใหญ่ นักท่องเที่ยวเวียดนามอีกสามคนเดินเข้ามาถามว่าแล้วเราจะทำไงดี เราสี่คนเลยต้องปีนรั้วออกมาด้วยความทุลักทุเล นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ชวนเรานั่งรถของพวกเขาไปเที่ยวต่อยังนอกเมือง แต่ด้วยเวลาที่จำกัดเราเลยต้องปฎิเสธน้ำใจของพวกเขาไป
ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์จะเป็นสุสานของชาวเวียดนามจากสงคราม สวนได้รับการดูแลอย่างดี มีผู้คนเข้ามาเคารพหลุมศพด้วยดอกไม้กันอย่างต่อเนื่อง เราเดินต่อไปที่บังเกอร์ French commander ซึ่งที่นี่และ A1 นับเป็นระบบบังเกอร์ที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดในช่วงสงคราวที่ผ่านมาแห่งหนึ่งของโลก นักท่องเที่ยวมักจะนำธงชาติขึ้นไปยืนโบกสะบัดเหมือนดังรูปถ่ายประวัติศาสตร์ แต่เรามาในช่วงพักจึงได้แค่ยื่นมือรอดรั้วหนามเข้าไปถ่ายรูปเพียงเท่านั้น
สงครามไม่ว่าจะจบลงอย่างไร ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ มันย่อมทิ้งบาดแผลให้คนทั้งรุ่นสองรุ่นในช่วงชีวิตของพวกเขาที่ต้องเยียวยา หวังว่ามนุษย์คงมีบทเรียนกับเรื่องเหล่านี้และจะยับยั้งไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก
พอ 15.30 เราเช็คเอาท์ออกจากที่พัก นั่งแท็กซี่ต่อไปยังท่ารถที่อยู่นอกเมือง ตอนวางแผนคือถ้ารถออกจากเดียนเบียนฟูตอน 16.30 มันก็น่าที่จะมาถึงแถว Mai Chau (ไมโจว) จังหวัด Hoao Binh (ฮัวบินห์) ตอนตีสาม เราพยายามสื่อสารกับเด็กรถว่าอยากลงที่ไหนก็ได้ก่อนทางแยกไป Mai Chau ที่ยังมีโรงแรมเปิดอยู่ (เพราะเมื่อดูจากแผนที่รถคันนี้จะต้องเลี้ยวตรงแยกนั้นแน่ๆ) ซึ่งเขาก็ได้แต่อือออ
คืนนี้รถแน่นมากเป็นพิเศษ เต็มแทบจะทุกที่นั่งรวมถึงทางเดิน เราถูกปลุกให้ตื่นเพื่อเตรียมตัวลง เด็กรถมองหน้าเราแปลกๆพร้อมกับสนทนากับคนขับ ให้เดาประมาณว่ามันคงเลยจุดที่มีโรงแรมมาแล้วอย่างแน่นอน ก่อนลงคนขับบ่นๆเหมือนกับว่าแล้วจะทำยังไงต่อแต่ก็โบกมือไล่ลาเพียงเท่านั้น เราลงมายืนโดดเดี่ยวตรงปั้มที่ส่วนอื่นๆมืดสนิท ในใจคิดด่าตัวเองว่าทำไมไม่ตั้งนาฬิกาปลุกกะเวลาถึงเมืองก่อนหน้านี้สักหน่อย เรามองไปรอบๆมีแต่ถนนที่เห็นได้ไกลสุดหยุดแค่ไฟปั๊ม ลองกูเกิ้ลดูโรงแรมที่ใกล้ที่สุดก็ห่างออกไปอีกเกือบสามกิโลเมตร ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเปิดอยู่หรือเปล่า ถ้าเป็นถนนในเมืองยังพอจะลองเสี่ยงเดิน แต่ความมืดของป่าเขาทำให้เราอยู่เฉยๆน่าจะดีกว่า
เรามองไปที่ม้านั่งเห็นมีคนอยู่ในเงามืด จึงพิมพ์ภาษาเวียดนามไปว่าอยากหาที่พักแถวนี้จะเป็นไปได้ไหม พอเดินเข้าไปใกล้ปรากฎว่าเธอเป็นผู้หญิง พออ่านข้อความก็ได้แต่ส่ายหน้า เรานั่งที่โต๊ะไม้หินเดียวกันแบบไร้บทสนทนา ในใจเราก็คิดว่าจะกลัวเราไหมที่มาร่วมโต๊ะแบบนี้ ผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมงนางถามเราว่า “จะไปไหน” พร้อมชี้นิ้วว่าจะไป “ทางนั้น”หรือ “ทางนี้” ตอนแรกเรานึกว่าหูฟาด ที่อยู่ดีๆได้ยินคำไทยที่ชัดถ้อยชัดคำในที่แบบนี้ พอพูดคุยปรากฎว่านางเป็นคนไท ไปอยู่ลาวมาสามปีตอนนี้กำลังจะกลับบ้านซึ่งก็เป็นทางเดียวกันกับเราที่จะไป จะมีรถมารับตอนตีห้ากว่าๆ
บทสนทนาต่อๆมาที่เราเรียกนางว่าพี่อย่างนั้น พี่อย่างนี้ก็ต้องสะดุดหยุดลง กับคำถามว่า เราอายุเท่าไหร่ จริงๆแล้วนางอายุน้อยกว่าเรา ในใจได้แต่คิดว่า เชี่ยแล้วไง และกับอีกหนึ่งคำถามที่นางเปิดขึ้นมาว่าทำไมมาคนเดียว ไม่เอาเมียมาด้วยเหรอ เราจึงตอบไปว่าไม่มีเมีย ไม่เอาเมีย ไม่เอาผู้หญิง หลังจากนั้นบทสนทนาก็ติดๆดับๆแย่ไปกว่าเดิม หลังจากนั้นเราก็หลับบ้างตื่นบ้างจนฟ้าสาง
เจ้าของร้านคุณป้าออกมาเปิดบ้านแต่เช้าตรู่ มีรถมิตซูบิชิคันใหญ่เข้ามาจอด นางกับคนขับรีบขนกระเป๋าแล้วออกตัวไปแบบไม่ชวนไม่ว่าแต่ก็ไม่ล่ำไม่ลากันสักคำ เราได้แต่มองตามรถที่แล่นออกไปตาปริบๆ เราซื้อกาแฟกระป๋องกับน้ำเปล่าแล้วสอบถามเรื่องการหารถเพื่อมายังที่พักกับคุณป้า แกก็โทรตามให้ไม่นานรถก็มาจอด เราขอบคุณคุณป้าเรื่องรถและที่มานั่งหน้าบ้านแกอยู่เกือบครึ่งคืน
พอฟ้าสว่างอะไรก็ดูสวยงาม ทุ่งนาที่นี่เขียวขจีมีทิวเขาอยู่ด้านหลัง มันน่ารักจนอยากขี่จักรยานเล่นเสียตอนนี้ แต่คงต้องนอนงีบเอาแรงสักหน่อยตอนบ่ายค่อยออกไป เมือง Mai Chau ดูเล็กๆน่ารักดี เราเลือกที่พักตรงปากทางหมู่บ้านเพื่อจะได้หาของกินสะดวก ที่นี่หลายคนมาเพื่อปั่นจักรยานเล่น เพราะไม่ได้มีเนินสูงที่ต้องใช้แรงเยอะ ไว้ช่วงบ่ายๆเราคงออกปั่นเที่ยวเล่นบ้าง