REMINDING ME: Batan ,Batanes , Philippines
ตอนที่ 1 เที่ยวฟิลิปปินส์ หมู่เกาะบาตาเนส Batanes 14 วัน
” หมู่เกาะบาตาเนส เป็นจังหวัดเล็กๆในประเทศฟิลิปปินส์ ตั้งอยู่ในภูมิภาคคากายันทางตอนเหนือสุด มีเมืองหลักคือ Basco ตั้งอยู่บนเกาะ Batan หมู่เกาะแห่งนี้ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวและห่างไกลจากส่วนอื่นๆของประเทศ จนมีชื่อเล่นขนานนามว่าเป็น ลูกกำพร้า เกาะที่ผู้คนมาเที่ยวกันจะมีสามเกาะใหญ่ คือ Batan,Sabtang,Itbayat ผู้คนบนเกาะเป็นชาวอิวาตัน Ivatan ที่มีภาษาและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ มีประวัติยาวนานสืบเนื่องกันมาถึง 4000 ปี ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงและเกษตรกรรม อุณหภูมิที่นี่เย็นสบายโดยเฉลี่ยประมาณที่ 22-28 องศาเซลเซียสตลอดทั้งปี ”
ความวิตกกังวลเริ่มก่อตัวหลังจากที่กดจองตั๋วเครื่องบินไปกลับด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ ความหลงไหลในภาพที่เห็น หมู่เกาะบาตาเนส เมื่อปีก่อนทำให้ตัดสินใจไปโดยไม่คิด การกรำทำงานหนักตลอดสามเดือนที่ผ่านมา นับเป็นช่วงที่เหนื่อยกับงานเอามากๆอีกครั้งหนึ่งในชีวิต(อ้างเหมือนเช่นเคย) สิ่งแรกที่ทำเพื่อเป็นรางวัลให้กับเรื่องดังกล่าว คือการจองตั๋วเคื่องบิน เงินในบัญชีถูกตัดหักไปทั้งตั๋วไปกลับกรุงเทพ-มะนิลา รวมทั้งมะนิลา-Basco(เมืองเทศบาลใน หมู่เกาะบาตาเนส) แบบบังคับไปกลับสองอาทิตย์เต็ม แผนการอย่างอืนที่เหลือค่อยว่ากัน เรายังมีเวลาอีกสองวันก่อนออกเดินทาง
พอเริ่มหาที่พักใน Booking กับ Agoda เหงื่อเริ่มออกมือ ตัวเลือกอันน้อยนิดและราคาที่เลย 1000 บาทเป็นทางเลือกที่ทำให้ลำบากใจ ตอนหาข้อมูลได้แต่เพียงเห็นภาพที่สวยงามน่ามาเยือนของหมู่เกาะอันแสนห่างไกล โดยไม่ได้คิดคำนึงถึงราคาค่าครองชีพในที่ที่จะไปแต่อย่างใด ไหนจะค่าเครื่องบินเล็กไปกลับจาก Basco ไปเกาะ Itbayat ที่ต้องกังวล (เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการนั่งเรือที่แกว่งแบบไวกิ้งโหดๆถึง 4 ชั่วโมงเต็ม ในตอนนั้นเราอีเมลไปเพื่อจองตั๋วแต่ก็ไม่มีใครตอบอะไรกลับมาอย่างน่าสงสัย)
เราเปิดตำรา LonelyPlanet อีกครั้ง ค้นหาชื่อที่พักที่ถูกที่สุดได้มาสองแห่ง เราสอบถามไปทั้งคู่แต่มีเพียงที่เดียวตอบกลับมา เราจองไปสามคืนในราคาคืนละ 850 เปโซ (Timetravel Lodge – BATANES) งบประมาณในใจเราตีให้ไว้ไม่เกิน 1500 บาท (2340 เปโซ) สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดในแต่ละวัน ซึ่งความหวาดหวั่นว่าเงินที่มีอยู่นั้นจะไม่พอ เราได้แต่ปลอบตัวเองว่า ถ้าไม่มีตังค์จะขยับตัวทำกิจกรรมใดใด ก็ขอแค่ให้ได้ไปนั่งโง่ๆ เดินเล่น เท้าจุ่มน้ำแถวๆนั้นก็คงจะเพียงพอ ทริปนี้เราเฝ้าบอกตัวเองเอาไว้ว่า แกต้องการความสงบ มาแค่พักกายหยาบที่อ่อนล้า การผจญภัยดัดจริตใดใดที่มีค่าใช้จ่ายให้พักเอาไว้ก่อน…เพราะแกไม่มีตังค์
เราบินมาถึงมะนิลาตอนตี 3.15 ก็ทำการแลกเงิน ซื้อซิม และเดินทางไปยังอาคาร 4 ด้วยรถบัส ความงงงวยของที่ตั้งอาคารที่จิ้มอยู่ท่ามกลางตึกรามบ้านช่อง ถนนที่ตัดไปมาในเขตการค้าและชุมชน มันช่างสร้างความสับสนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว กว่าที่จะเดินทางมาถึงก็เกือบตี 5 ซึ่งจริงๆแล้วสายการบิน SkyJet มีรอบ 6.25 แต่ด้วยความที่กลัวความล่าช้าของเที่ยวบินขามาเลยทำให้เราตัดสินใจรอเที่ยวบิน 10 โมงตามที่ได้จองไว้ การเปลี่ยนตั๋วหรือน้ำหนักกระเป๋าที่เกินมาแม้แค่ขีดเดียวมีราคาค่าใช้จ่ายที่แพงมาก (หลายคนแนะนำให้บินด้วยสายการบินนี้ เพราะใช้เครื่องที่ไม่ใช่แบบใบพัดเหมือนสายการบินอื่นๆ เมื่อเจอกับสภาพอากาศที่เลวร้ายก็ยังคงสามารถออกเที่ยวบินได้ค่อนข้างตรงตามเวลา น้ำหนักกระเป๋าแบบไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มอนุญาตให้ 10 กิโลกรัม)
เมื่อเครื่องจอดทุกคนต้องกรอกเอกสารเรื่องสุขภาพและสถานที่เข้าพักอย่างละเอียด พร้อมการคัดกรองตรวจวัดอุณภูมิของร่างกาย (เราเดินทางไปถึงในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ สถานการณ์โควิด 19 ในขณะนั้นยังมีผู้ป่วยไม่ถึง 10 คนในประเทศ แต่ที่นี่ก็มีความเข้มงวดในเรื่องแนวทางป้องกันเป็นอย่างมาก) พอเราหยิบกระเป๋าก็เดินไปดูที่โต๊ะของสายการบิน NorthSkyair ที่ปิดเงียบ ได้ความจากเจ้าหน้าที่สนามบินว่า เกาะ Itbayat ได้ปิดเพื่อป้องกันการระบาดดังกล่าวอย่างที่ไม่มีกำหนด ใจนึงก็รู้สึกเสียดายเพราะคงเป็นเรื่องยากที่จะได้มีโอกาสกลับมาอีกในครั้งต่อไป แต่ใจนึงก็รู้สึกชื่นชมถึงความเด็ดขาดในการปกป้องผู้คนในดินแดนที่ห่างไกล เพราะคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนักหากมีผู้ป่วยเกิดขึ้นบนเกาะที่มีประชากรเป็นคนพื้นเมืองที่เป็นผู้สูงอายุจำนวนมากแบบนี้
เราเห็นป้ายชื่อที่ทางโรงแรมมารอรับ แล้วนำเราขึ้นรถสามล้อรูปทรงแบบดั้งเดิมที่ดูเหมือนรถโลหะจากหนังยอดมนุษย์โบราณอันแสนจะน่ารัก รถแล่นมาได้ไม่ถึงห้านาทีก็ถึงที่พัก ภายในรั้วมีสวนที่ดูร่มรื่น ห้องพักแบบไม่มีแอร์ก็ดูสะอาดในราคาที่สมเหตุสมผล จะขาดก็แต่มุ้งหรือมุ้งลวดที่จะคอยกันยุง ทำให้ตอนกลางคืนเราไม่กล้าเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมเย็นสักเท่าไหร่
เราเริ่มออกเดินสำรวจตัวเมือง Basco ด้วยความหิว ร้านรวงส่วนใหญ่ปิดในวันอาทิตย์ มีเพียงไม่กี่ร้านที่เปิดให้บริการ เราแวะร้านๆนึงที่ซ่อนตัวอยู่ในซอย เมื่อเปิดดูเมนู ก็ต้องขอทำใจกับราคาที่เห็น จริงๆแล้ว หมู่เกาะบาตาเนส เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมในหมู่นักเดินทางท้องถิ่นเพื่อมาพักตากอากาศ ค่าครองชีพจึงถีบตัวค่อนข้างสูง ประกอบกับสินค้าอุปโภคและบริโภคที่ต้องขนส่งมาทางเรือ จึงทำให้ที่นี่มีสนนราคาที่ต้องจ่ายไม่ธรรมดา ระหว่างที่รออาหารเราออกไปสูบบุหรี่ตรงถนนหน้าร้าน คนขับสามล้อที่จอดอยู่ร้องทักกวักมือไล่ให้เข้าไปอยู่ในรั้วบ้าน พร้อมบอกเตือนถึงความเข้มงวดกวดขันในกฏหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะอย่างเด็ดขาดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม (ตำรวจเห็นจะจับปรับในทันที) เรากล่าวคำขอโทษพร้อมหลบเข้ารั้วบ้านของร้านตามคำตักเตือน
หลังมื้ออาหารเรายังเห็นสามล้อคันเดิมจอดอยู่ จึงสอบถามข้อมูลเรื่องการนำเที่ยวกับคนขับ ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางในเที่ยวบินกลางคืนและอาการปวดหลังเรื้อรัง ที่ประเมินเข้ากับทักษะในการขี่รถมอเตอร์ไซค์ของเราที่สวนทางกับคำว่าปลอดภัย แถมยังมีแรงผลักโดยกิเลสที่อยากจะเสพวิวทิวทัศน์ให้สมใจอยากได้หยิบยกนำมาเป็นข้ออ้างหลังท้องอิ่ม ก็ทำให้เราตกลงเหมารถเที่ยวรอบเกาะในวันนี้ได้โดยง่ายอย่างที่ไม่แคร์เงินในกระเป๋า ทั้งนี้ก็เผื่อจะได้ประเมินสภาพถนนหนทางว่าเหมาะกับความสามารถในการขับขี่ที่มีอยู่ในวันต่อๆไปหรือไม่ และจากความตั้งใจที่จะสนับสนุนกิจการท้องถิ่นของคนในพื้นที่เท่าที่เราจะอำนวย ค่าบริการเส้นทางด้านเหนือเกาะ 1000 เปโซ ทางใต้ 1500 เปโซ (เราเห็นฝรั่งหลายคนที่เวียดนามเช่าขี่มอเตอร์ไซค์ด้วยทักษะที่เลวร้าย มันประหยัดงบประมาณในการเที่ยวและมีอิสระภาพในการเดินทาง แต่อีกแง่ก็เหมือนจะเป็นการสร้างภาระบนท้องถนนให้กับคนท้องถิ่นอย่างที่เราเห็นเองก็ยังหงุดหงิดแทน ทุกครั้งก่อนที่เราจะเช่าขับจึงต้องขอออกสำรวจว่าไม่เกินความสามารถที่เรามีอยู่จริงๆ)
บนเกาะแห่งนี้ พาหนะยอดนิยมทั้งจากนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นสำหรับการเดินทางไปไหนมาไหนนั่นก็คือ รถสามล้อ รถในรูปแบบดั้งเดิมที่ดูโบราณคลาสสิกน่ารักเมื่อจ้องมอง แต่พอได้นั่งมันก็มิดชิดเกินกว่าจะให้บริการนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะเปิดลมชมวิวได้ รถรุ่นใหม่ที่ต่อด้วยไม้แบบเปิดโล่งจึงถูกนำมาใช้แทน รถรุ่นเก่าจึงได้แค่บรรทุกสิ่งของหรือโดยสารผู้คนในระยะใกล้แบบแท็กซี่กันเสียมากกว่า ราคาทุกอย่างถูกตั้งไว้อย่างมาตรฐานไม่ต้องต่อราคาให้ปวดหัว
คุณเจอรี่เป็นพลขับพร้อมไกด์ให้เราในวันนี้ อัธยาศัยพี่แกเป็นมืออาชีพ นิสัยดี หน้าตาละม้ายคล้ายญาติฝั่งพ่อเราที่ดูสุภาพและอ่อนโยนกว่า ถึงแม้เราจะถามคำถามแปลกๆแกก็ไม่เคยมองบนใส่ เราชอบถามถึงเรื่องผีสางนางไม้ สิ่งลี้ลับ ของศักดิ์สิทธิ์ใดใดที่ให้เลข หรือบริเวณไหนที่เคยมีคนกลิ้งตกไปตายเป็นต้น… หากใครมาเที่ยวที่นี่แล้วไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ลองจากพี่แกก่อนก็ได้ เพราะว่าถ้าหากติดต่อบริษัทนำเที่ยวหรือจากทางโรงแรมส่วนใหญ่ก็จะถูกบวกค่านายหน้าที่แพงขึ้นไปอีกแบบน่าตกใจ
การท่องเที่ยวบน หมู่เกาะบาตาเนส
เกาะบาตัน Batan
ก่อนอื่นเมื่อมาถึง นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมาลงทะเบียน จ่ายค่าธรรมเนียม 350 เปโซ ค่ารักษาสิ่งแวดล้อมอีก 50 เปโซ ที่ศาลาว่าการเทศบาลเมือง Basco บนเกาะบาตัน แล้วเราจะได้แผ่นพับที่สามารถเอาไปแสดงตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆได้บนเกาะแห่งนี้ ถ้ามีการตรวจตราจากเจ้าหน้าที่จะต้องเสียเวลากลับมาทำใหม่ (เมื่อก่อนจะทำที่สนามบินได้เลย) การจัดการด้วยระบบแบบนี้จะทำให้เกิดความเท่าเทียมของการพัฒนาจัดการ หากเป็นบ้านเราคงมีเพียงการจัดเก็บที่เป็นของกองอุทยานเพียงเท่านั้น แต่การมาเที่ยวในแหล่งที่เป็นชุมชน หมู่บ้าน มันมีอะไรที่ซับซ้อนมากกว่า การรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมที่ไม่ต้องให้ผู้คนแห่กันมาทำธุรกิจท่องเที่ยวที่ทำเงินเพียงอย่างเดียวนั้น อันนี้ก็เป็นอีกหนทางในการจัดการเรื่องดังกล่าวได้ ในบางพื้นที่ที่ห่างไกล เพียงเราแค่ทิ้งขยะคนละชิ้น หรือเข้าห้องน้ำกันคนละครั้งกับผู้คนจำนวนมาก เราย่อมต้องมีการจัดการที่ดีสำหรับเรื่องเหล่านี้
เรายืนอ่านข้อควรปฏิบัติอยู่ชั่วครู่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องทั่วๆไปแบบสากลโลก เพียงแต่มันดูชัดเจน ละเอียดจนทำให้เรารู้สึกเกร็งๆ เหม่อเห็นหน้าท่านประธานาธิบดีดูเตอร์เต ลอยมาในห้วงความคิด ประหนึ่งเป็นการประกาศสงครามกับยาเสพติดกันเลยทีเดียว
ป้ายใหญ่ๆตามแหล่งท่องเที่ยวก็มีติดเตือนไว้ทั่ว บ้างมีข้อความเฉพาะเจาะจงในแบบที่เราคาดไม่ถึง อย่างเช่น ห้ามเข้าไปใกล้ฝูงสัตว์เลี้ยงเพราะอาจได้รับอันตรายหรือพวกมันอาจจะตกใจจนหนีตกขอบหน้าผาได้ การขึ้นโดรนต้องลงทะเบียนและเสียค่าธรรมเนียมถึง 5000 เปโซ และอื่นๆอีกมากมาย
เจอรี่พาเราเที่ยวไปรอบๆเกาะหลังจากลงทะเบียนเสร็จ ด้วยเวลาเพียงครึ่งวันมันคงไม่เพียงพอสำหรับการอ้อยอิ่ง เราจึงถือเสียว่าเป็นการทำความรู้จักกับสถานที่แห่งนี้เสมือนการดูตัวแบบทางการ แล้วค่อยกลับมาชื่นชมให้สมกับเวลาที่ดูจะมีอยู่อย่างเหลือเฟือในวันหลัง
ในช่วงกลางกุมภาพันธ์ที่ยังถือว่าเป็นช่วงหน้าหนาว ลมเย็นๆพัดแรงจากท้องทะเลจนบางครั้งต้องหยิบเสื้อขึ้นมาใส่คลุม แต่แสงแดดที่แผดร้อนแค่เพียงเริ่มทริปก็ทำให้เราแสบหน้าได้เบาๆอยู่เหมือนกัน เราเริ่มงงในบรรยากาศของที่นี่ เจอรี่พาเรามาจุดชมวิวทางด้านเหนือเกาะ แล้วค่อยขับย้อนล่องลงไปทางด้านทิศใต้ วิวทางด้านเหนือมันเติมเต็มสวยงามสมดั่งใจ ในแบบที่ภาพตรงปกเหมือนในสื่อออนไลน์ที่เคยเห็น แต่เมื่อเคลื่อนมาทางทิศใต้ วิวมันเริ่มดูเร้าใจเหมือนบทเพลงที่กลองเริ่มตีรัว
ความพิเศษของเกาะที่ก่อตัวจากภูเขาไฟมันชวนให้หลงไหลน่ามอง บางครั้งแค่เลี้ยวโค้งก็เปลี่ยนบรรยากาศได้เหมือนฉากละครในหนัง หน้าผา ต้นไม้ ทุ่งหญ้าดูแปลกตา บางแห่งดูเวิ้งว้างว่างเปล่าด้วยก้อนหิน บ้างก็เต็มไปด้วยเฟิร์นเต็มภูผา พอเข้าสู่หมู่บ้านต่างๆที่ส่วนใหญ่จะมีโบสถ์ตั้งเด่นเป็นสง่าท่ามกลางบ้านหลังเล็กหลังน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดู มันเพลินเพลินเกินกว่าจะบรรยายได้หมดด้วยคำบอกเล่า
จากจุดชมวิวสูงสุดทางทิศใต้ที่เราคิดว่าเป็นส่วนที่ฟินสุดของเส้นทาง แต่ถนนเส้นเล็กๆที่เลื้อยไปมาบนภูเขากลางเกาะที่เป็นเนินสูงต่ำในช่วงขากลับ มันก็สร้างความพิเศษอะไรบางอย่างที่น่าชื่นใจในแบบที่แตกต่างจากสภาพเกาะในเขตร้อนที่เราคุ้นเคย
เมื่อรถแล่นลงเขามาเลียบหน้าผาเพื่อกลับเข้าเมือง เมฆฝนก็เริ่มตั้งเค้า อุณหภูมิลดลงต่ำจนเราตัวสั่นหนาว เจอรี่ต้องก้มขับหลบแรงลมที่พัดกระโชกมันแรงจนรถสั่นเซ กว่าจะถึงต้องยอมรับว่าทั้งหน้าชาและตาแดงกันทั้งคู่เลยทีเดียว พอร่ำลากันเสร็จเราก็กลับเข้าที่พัก ฝนและลมเริ่มตกพัดแรงกว่าเดิม อุณภูมิลดต่ำลงเหลือแค่ 15 องศาในค่ำคืนนั้น ถึงแม้เราจะเข้านอนด้วยความอิ่มใจจนจุกในทิวทัศน์ ได้เติมเต็มกับสถานที่ที่อยากมาอย่างสมใจ แต่ทว่าความหวาดหวั่นก็เริ่มเกิด เมื่อตระนักถึงเวลาอีกเกือบสองอาทิตย์ที่เหลือ เพียงแค่วันนี้วันเดียวเราก็เที่ยวเกาะบาตันนี้จนทั่วเสียแล้ว !!!
อ่านติดตามตอนอื่นๆของทริปนี้ได้ตามลิ้งค์ด้านล่างครับ
ตอนที่ 3 เที่ยวฟิลิปปินส์ หมู่เกาะบาตาเนส Batanes 14 วัน – เกาะบาตัน แหล่งท่องเที่ยวทางด้านทิศใต้