REMINDING ME: Narathiwat ,Thailand
นราธิวาส เที่ยว 3 จังหวัดชายแดนใต้ 8 วัน
ดินแดนอันเป็นอดีตรัฐสุลต่านปัตตานีที่ปลายสุดด้ามขวานไทย การเดินทางท่อง เที่ยว 3 จังหวัดชายแดนใต้ เป็นอีกหนึ่งทริปที่เราอยากไปมานานมาก เมื่อมีโอกาสจึงซื้อตั๋วเครื่องบินไทยสมายล์อันเป็นเที่ยวบินแรกที่กลับมาเปิดให้บริการแบบปกติหลังการระบาดโควิดในรอบที่สอง โดยเราจะมาลงที่จังหวัดนราธิวาส
เมื่อมีหมายกำหนดการเดินทางแบบไม่จำกัดวัน(ในใจอยากอยู่ให้ได้ถึงสองอาทิตย์) ก็ทำให้เราวางแผนในแบบที่สบายๆได้มากขึ้น การท่องเที่ยวชุมชนหลายแห่งในการ เที่ยว 3 จังหวัดชายแดนใต้ ต้องมีการนัดหมายกันล่วงหน้า รวมทั้งการกำหนดวันเดินทางเพื่อนัดแนะจุดรับส่งที่ต้องชัดเจนอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เพราะบางพื้นที่ไม่ได้มีรถสาธารณะเดินทางเข้าไปถึงได้อย่างสะดวก เมื่อหาข้อมูลและโทรสอบถามในหลายๆแห่ง เครื่องหมายกากบาทก็เริ่มขีดฆ่าบนหมายกำหนดการอย่างเมามัน บางพื้นที่ยังไม่เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวเนื่องจากการป้องกันโรคระบาด หรือบางแห่งก็มีราคาค่าใช้จ่ายที่แพงเกินกว่าที่เราคาดคิดไว้สำหรับการเดินทางคนเดียว จึงทำให้จำนวนวันและสถานที่ที่ได้กะเกณฑ์ไว้หดลดลงไปเรื่อยๆ
และก็เหมือนอย่างเคย พอถึงเช้าวันเดินทางเราก็ยัดทุกอย่างที่กองๆไว้ลงกระเป๋าแบบอัดแน่น ยังงงตัวเองอยู่ว่าจะหอบอะไรไปกันนักกันหนา กระเป๋าบวมปูดโปนมีน้ำหนักมากกว่าครั้งไหนๆ สิริรวมแล้ว 19 กิโลกรัม ที่ต้องแบกอยู่บนบ่า ด้วยสถานที่ที่จะไปมีทั้งต้องเดินป่า ลุยน้ำ ล่องเรือ และลงทะเล จึงทำให้มีความหลากหลายของชุดและอุปกรณ์ที่ต้องตระเตรียมให้กับตนเองและกล้องถ่ายรูป
พอเครื่องเริ่มบินต่ำเตรียมลงจอด วิวหาดบ้านทอนที่มีทิวมะพร้าวทอดยาวแบบสุดลูกหูลูกตาก็ทำให้ใจเต้นได้อยู่ไม่น้อย เราโดยสารรถตู้จากสนามบินเข้าเมืองมาส่งถึงหน้าที่พัก เราเลือกโรงแรมเก่าแก่แห่งหนึ่งเพราะอยู่ใจกลางเมืองและด้วยราคาที่ถูกที่สุดในยามนั้น เมื่อเข้าห้องมาก็ไม่ได้มีอะไรเกินความคาดหมาย การตกแต่งของสถานที่ที่ทำให้ได้ฟิวในแบบของข้าราชการมาประชุมสัมมนา ความหรูหราแบบโบราณที่เป็นพรมอัดทำให้ภูมิแพ้เรากำเริบขึ้นมาได้ในทันที ด้านหน้าโรงแรมจะมีวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เราสอบถามเบื้องต้นเพื่อเหมาเที่ยวในวันรุ่งขึ้น แต่คำตอบที่ได้ก็คือให้เช่าเหมารถเอาเถอะ มันไกลเกินกว่าพวกลุงจะขี่กันไหว ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ในความร้อนของตอนบ่ายในขณะที่เรากำลังสอบถาม
ตัวเมืองของนราธิวาสไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก มีถนนหลักอยู่สองเส้นที่คู่ขนานกันไป เราเดินถนนเส้นในลัดชุมชนชาวเลจนมาถึงมัสยิดกลางประจำจังหวัดตรงสะพานปรีดานราทัศน์ เราเดินต่อไปยังชายหาดนราทัศน์ ที่นี่เมื่อหลายปีก่อนเคยพบจรเข้เข้ามาป้วนเปี้ยนจนสร้างความแตกตื่นให้กับผู้คน รวมทั้งความแปรปรวนรุนแรงของคลื่นที่เป็นอันตรายจนต้องมีการปักป้ายเตือนแบบถาวร จนตอนแรกเรานึกว่าชายหาดน่าจะดูเงียบเหงา แต่กลับพบเห็นความครึกครื้นอย่างถึงที่สุดเมื่อมาถึง ร่มเงาของทิวสนเป็นพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อนได้เป็นอย่างดีให้กับคนนับร้อยครอบครัว ว่าวที่เราไม่ได้เห็นผู้คนเล่นกันแบบเอาจริงเอาจังกันมานาน ก็มีอยู่ที่นี่ มันทำให้เราคิดถึงสนามหลวงเมื่อครั้งเรายังเด็ก ที่มันเป็นพื้นที่สาธารณะที่ไม่ดูหงุมหงิม เจ้ายศเจ้าอย่างมีกฎระเบียบมากมายจนไม่น่าหย่อนใจสักเท่าไหร่สำหรับเราในปัจจุบัน
ถึงแม้หาดทรายในฤดูนี้จะไม่ได้ทำให้น่าประทับใจ ชายหาดที่โดนคลื่นลมซัดก็ดูเว้าแหว่งเข้ามาลึกจนน่าใจหาย ข้อมูลบางแหล่งกล่าวโทษเขื่อนกั้นคลื่นที่สร้างเหมือนเส้นประ มันทำให้การหมุนเวียนของผืนทรายตามธรรมชาติเกิดความแปรปรวนจนหาดขึ้นผิดรูป บ้างก็กล่าวว่าถ้าหากไม่มีเขื่อนเหล่านี้ บริเวณนี้คงกลายเป็นปากอ่าวแม่น้ำไปนานแล้ว
เราเดินกลับมานั่งเล่นริมน้ำแถวพลับพลาที่ประทับเฉลิมพระเกียรติ ผู้คนมาออกกำลังกายและนั่งหย่อนใจจำนวนมากในตอนเย็น พอใกล้ค่ำเราไปนั่งกินอาหารที่ร้านมังกรทอง บรรยากาศที่มีพระจันทร์ดวงใหญ่กับนกที่บินเอื่อยในป่าโกงกางฝั่งตรงข้ามทำให้เรานั่งอยู่นานจนเกินกว่าเวลาที่สมควร ถนนเส้นริมน้ำตอนหลังสองทุ่มค่อนข้างเงียบ จนบางทีเรานึกตำหนิตัวเองที่ไม่ยอมกลับที่พักให้เร็วกว่านี้
ในช่วงเช้าเรารีบไปตลาดซึ่งอยู่หน้าโรงแรม สายตาสะดุดเข้ากับรถของทหารหน้าตาประหลาด (มาทราบทีหลังว่าเป็นรถตัดสัญญาณมือถือและวิทยุเพื่อป้องกันการจุดชนวนระเบิด) อาหารเช้ารอบๆตลาดนั้นอร่อยมาก เรากินนาซิดาแฆหรือข้าวมันแกงไก่ที่ห่ออยู่ในกระดาษ กับขนมต้มใบกระพ้อ จนทำให้ไม่เหลือท้องว่างสำหรับอาหารเช้าฟรีของโรงแรม เราเดินอ้อมตรงเส้นถนนย่านธุรกิจ ที่ด้านหลังจะมีอาคารเก่าแก่ที่ดูน่ารักดีมีอยู่หลายตึก ลายปูนปั้นที่เป็นดอกโบตั๋นหรือจะเป็นอาคารครึ่งไม้ที่ทาสีสันให้ดูสดใส ถึงจะมีไม่มากไม่มายแต่ก็ทำให้เพลินๆเดินย่อยอาหารได้เป็นอย่างดี หลายที่เมื่อตึกไม่มีคนมาเช่าอยู่อาศัย ก็ได้ทำการโบกปูนประตูหน้าต่างแล้วเจาะกำแพงให้นกนางแอ่นเข้ามาอยู่ หลายคนกังวลเรื่องไฟไหม้ในหมู่อาคารแถวครึ่งไม้ในย่านนี้ เพราะถ้าเกิดขึ้นจริงทั้งคงน่าเสียดายอดีตที่จะต้องถูกทำลาย รวมทั้งเหล่าธนาคารที่ตั้งแซมเป็นระยะก็คงจะกระสับกระส่ายอยู่ไม่น้อยถ้าเหตุมันเกิดขึ้นมาจริงๆ ตรงปากทางเข้าทุกๆแยกที่จะมาในบริเวณนี้ จึงมีด่านตรวจคอยคุมเข้มอยู่ทุกจุด รวมทั้งหน้าตลาดที่มีคนมาจอดมอเตอร์ไซค์กันอย่างหนาแน่น
พอตอนเก้าโมงคุณน้าดำรงค์ (0899758995) แท็กซี่เพียงหนึ่งเดียวในขณะนั้นของตัวเมืองจังหวัดนราธิวาสก็ได้มารับเรา พอรถออกไปได้ชั่วครู่เสียงโทรศัพท์เราก็ดังขึ้น ที่บ้านโทรมาถามถึงธุระอะไรบางอย่าง พร้อมพ่วงท้ายด้วยคำถามที่ว่าอยู่ไหนแล้ว เราตอบแบบเสียงเบาๆว่ากำลังอยู่บนรถกำลังไปพัทลุง พอวางสายน้าดำรงค์ก็หัวเราะ เพราะคำตอบของเราและลูกค้าคนอื่นๆอีกหลายคนจะเป็นคำโกหกที่เหมือนๆกันเมื่อทางบ้านโทรมา ต่อให้เราแก่ชราหมาเลียตูดไม่ถึงหรือจะมีความซื่อสัตย์สุจริตสักเพียงใด แต่การบอกบุพการีว่ามา เที่ยว 3 จังหวัดชายแดนใต้ คนเดียว คงเป็นเรื่องที่ขอยอมเลือกที่จะผิดศีลเอาดีกว่า
หาดบ้านทอน จะมีอู่ต่อเรือกอและบ้านทอนนาอีม ถึงแม้เรือที่กำลังทำอยู่จะยังคงไม่เป็นรูปเป็นร่างสักเท่าไหร่ แต่ความหนาและยาวของไม้กระดานที่นำมาประกอบเรือก็ทำให้เราทึ่งได้อยู่ไม่น้อย ปัจจุบันความนิยมต่อเรือและประดับประดาแบบเต็มยศลดน้อยลงไปตามเศรฐกิจที่ถดถอย บางคนแทบจะใช้ครึ่งนึงของชีวิตในการสะสมไม้และเงินก้อน ก่อนที่จะได้ลงมือว่าจ้างต่อเรือกันจริงๆ ส่วนใหญ่จะใช้งบประมาณกันประมาณหกแสนบาทต่อเรือหนึ่งลำ เมื่อประกอบเครื่องยนต์และอุปกรณ์ที่ใช้ในการจับปลาก็ต้องเพิ่มส่วนต่างจากนั้นขึ้นไปอีก
ในตอนสิบโมงกว่า ที่พระอาทิตย์เริ่มส่องแรงจัด จนทำให้หลายสิ่งที่นี่ดูแห้งแล้งเป็นสีน้ำตาลอ่อน แสงที่กระทบทรายสีนวลทำให้ตาพล่าเห็นทุกอย่างคล้ายสีซีเปียผสมพาสเทล เราเดินเล่น และนั่งมองวิวอยู่นานจนคอแห้ง เราเข้ามานั่งในร่มเพราะเริ่มร้อนจนแสบผิว อาคารทั้งจากของภาครัฐและเอกชนหลายแห่งถูกปล่อยให้ทิ้งร้าง ลมที่แรงจัดแถวนี้ทำให้ทุกอย่างพังพินาศได้อย่างไม่ต้องสงสัย ชาวบ้านทำที่กันลมกันอยู่หลายแบบมีให้เห็นอยู่ได้โดยทั่วไป ทั้งหาดในวันเสาร์มีแต่เราที่เป็นนักท่องเที่ยวอยู่คนเดียว อากาศที่ร้อนจัดและไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆคงไม่ใช่ทางเลือกของนักท่องเที่ยวท้องถิ่นสักเท่าไหร่ (เราเห็นแค่ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านเดียวของคนท้องถิ่นเพียงเท่านั้น) นักท่องเที่ยวชอบมาที่นี่เพื่อถ่ายรูปตอนเครื่องบินกำลังจะลงจอด บางคนนอนราบบนหาดจนได้มุมที่เหมือนเครื่องบินกำลังจะลงมาทับร่าง บ้างทำท่ากระเด็นเหมือนโดนเครื่องบินพุ่งชน ภาพที่แปลกที่สุดเท่าที่เห็นมานั่นก็คือ มีผู้หญิงที่นอนถ่างขาออกเล็กน้อยจนเหมือนเครื่องบินจะลงเข้าอู่ในร่างของนาง ช่วงนี้เครื่องบินที่นราธิวาสเพิ่งกลับมาบินอีกครั้ง แต่จำนวนเที่ยวก็ลดลงไปอย่างมาก คนจึงไม่ค่อยนิยมมาท่องเที่ยวหาดนี้กันเสียเท่าไหร่ในช่วงเวลาแบบนี้
น้ำตกปาโจ แห่งเทือกเขาสุไหงปาดี ในวันที่เรามาถึงคนค่อนข้างเยอะ มีครอบครัวพาเด็กๆมาเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานที่ชั้นแรก เราเดินขึ้นไปแค่สองชั้นก็รู้สึกท้อแท้ ความมุ่งมั่นที่อยากขึ้นไปให้ถึงที่ชั้นสี่ก็ละลายหายไปกับสายน้ำตก เรานั่งเล่นแช่เท้าอยู่ไม่นานก็รีบเดินกลับเพราะท้องเริ่มรู้สึกหิว
มัสยิด 300 ปี (มัสยิดวาดีอัลฮูเซ็น) คำว่า 300 ปีเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้เราได้เช่ารถเพื่อมาที่นี่ อาคารไม้ตะเคียนแบบไทยพื้นเมืองประยุกต์เข้ากับศิลปะจีนและมลายูที่ผ่านกาลเวลาเป็นสิ่งล้ำค่าน่ามาเยือน เสียดายที่ไม่ได้เข้าไปด้านใน เราชอบดมกลิ่นไม้ของอาคารเก่าที่เราว่าให้ความรู้สึกขลัง เป็นกลิ่นอายของบรรยากาศในอดีตที่เราสูดดมได้ด้วยจมูกจริงๆ (ปกติต้องขออนุญาตจากโต๊ะอิหม่ามก่อนเพื่อเข้าไปด้านในมัสยิดแต่ในวันนี้ท่านไปธุระที่อื่น)
วัดเขากง พระพุทธรูปทักษิณมิ่งมงคล มีสีทองอร่ามในปางปฐมเทศนาขัดสมาธิเพชร ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา เป็นพระพุทธรูปกลางแจ้งที่ว่ากันว่างดงามและยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคใต้ สีทองที่เห็นเป็นการประดับประดาด้วยโมเสสที่นำเข้าจากอิตาลี เมื่อเวลาเข้าไปดูใกล้ๆจะมีแสงสะท้อนกับดวงอาทิตย์ทำให้เกิดเฉดเงาที่น่าประหลาดใจดี แต่หินอ่อนที่ใช้ปูพื้นไม่รู้นำเข้ามาจากไหน มันช่างดูดแสงเก็บความร้อนทำเอาเท้าแทบพองกันเลยทีเดียว
อุทยานแห่งชาติอ่าวมะนาว-เขาตันหยง จริงๆแล้วที่นี่อยู่ใกล้ในตัวเมืองมาก เพียงแต่มีแม่น้ำมาขวางกั้น จึงต้องทำให้ต้องขับรถอ้อมมาเพื่อไปให้ถึงหาด สองข้างทางมีต้นสนขึ้นหนาทึบ มีเลนจักรยานให้ขี่เล่นโดยเฉพาะ คนท้องถิ่นชอบมากางเต็นท์หย่อนใจค้างคืนกันแถวนี้ เมื่อพ้นดงสนจะเป็นส่วนของตีนเขา จะมีที่นั่งเล่นร่มรื่นใต้ต้นไม้ใหญ่สลับกับโขดหินพร้อมกับฝูงลิงอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่จะมาคุ้ยถังขยะกินเศษอาหารที่เหลือจากนักท่องเที่ยว มันไม่ได้ดูดุร้ายหรือขี้ขโมยเหมือนกับลิงจากที่อื่นๆที่เคยเจอมา
เรากลับเข้ามาในตัวเมืองตอนบ่ายแก่ๆ แต่แดดก็ยังร้อนเกินกว่าจะเดินไปไหนมาไหน เมื่อทัวร์ด้วยรถจบลง เราคงต้องรอให้เย็นกว่านี้ค่อยเริ่มออกเดิน ในตอนเย็นเรามานั่งที่ร้านอาหารมันตรา บรรยากาศริมน้ำกับพระจันทร์ดวงโตเหมือนเช่นเคยก็ทำให้เรานั่งเพลินจนเกินเวลาที่ทดไว้ในใจอีกครั้ง กลับถึงห้องก็สามทุ่มกว่าพอดี
อำเภอตากใบ
ในตอนเช้าเราหอบกระเป๋าซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาลงที่คิวรถสองแถวเพื่อไปยังอำเภอตากใบ เรานั่งรออยู่หลายชั่วโมงจึงจะได้เวลาออก ผู้โดยสารที่น้อยลงจากโรคระบาดทำให้ทุกอย่างดูผิดเพี้ยนไปหมด ป้ายเตือนแกมขู่ที่แขวนอยู่ตรงวินถึงเรื่องการชำระค่าธรรมเนียมการเดินรถที่เกินกำหนดยิ่งทำให้เรารู้สึกหดหู่ใจ การที่เอกชนได้สัมปทานในการเดินรถสาธารณะ แล้วดำเนินการอย่างไม่ต้องกังวลขาดทุนในอดีต เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความล้มเหลวจากทางภาครัฐที่ไม่สามารถดำเนินการในสิ่งเดียวกันได้ทั้งๆที่เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานแบบของมันต้องมีในเรื่องการคมนาคมสาธารณะ และเมื่อเกิดปัญหาในตอนนี้กลับเหมือนถูกทิ้งลอยแพทั้งผู้ประกอบการและผู้โดยสารที่ไม่ได้มีทางเลือกเป็นของตัวเองมากนักทำให้ต้องถูไถไปต่อกันเอง ใช่ เราเป็นนักท่องเที่ยว อาจไม่ได้ดูจำเป็นและค่อนข้างจะไม่ถูกกาลเทศะในสถานการณ์โรคระบาดเช่นนี้ แต่กับคุณยาย เด็กน้อย ผู้โดยสารหญิงสาวกับทารกที่ต้องมานั่งรอตากแดดอยู่เป็นชั่วโมง และต้องมาเบียดกันอยู่บนกองของพัสดุที่คนขับต้องนำไปส่งที่ตัวอำเภออย่างทุลักทุเล และกับคนที่ยังคงต้องเดินทางกันอยู่เป็นประจำก็คงจะลำบากกันอยู่ไม่น้อยในช่วงเวลาแบบนี้ รถแล่นมาจอดให้เราลงที่ตากใบลากูนรีสอร์ทที่เป็นที่พักเพียงแห่งเดียวในอำเภอตากใบในเวลานั้น เราใช้เวลาทั้งหมดเกือบสี่ชั่วโมงนับตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากโรงแรม ทั้งๆที่ระยะทางเพียงแค่ 30 กว่ากิโลเมตรเท่านั้นเอง
หลังเก็บกระเป๋าเราก็ออกเดินไปที่ร้านกาแฟ The transit coffee เขาว่ากันว่าบาริสต้าที่นี่เก่งมาก เราสั่งกาแฟ honey lemon ทั้งๆที่ดูแล้วไม่ค่อยน่าไว้วางใจ เพราะเมนูประมาณนี้กับที่อื่นๆ เคยทำให้เราถึงกับสำลักจนแทบอยากจะเอาช้อนขึ้นมาขูดลิ้น แต่ในครั้งนี้ทำให้เราไม่ผิดหวังจริงๆ เพราะมันทั้งอร่อยและชื่นใจเอามากๆ การตกแต่งก็ทำได้เรียบง่ายและกลิ่นของผิวมะนาวก็ส่งกลิ่นหอมรวมกับกลิ่นของกาแฟที่ทำได้ออกมาอย่างยอดเยี่ยม เราเห็นน้องๆเค้ากำลังยุ่งอยู่กับการหัดชงกาแฟด้วยเทคนิคต่างๆที่เป็นเหมือนการทดลอง เราจึงไม่อยากไปรบกวนอะไรมาก แต่ตอนคิดเงินเราก็อดไม่ได้ที่จะสอบถามถึงเรื่องของกาแฟและเรื่องส่วนตัว!!!!คือจริงๆแล้วเราอยากหาคนที่เป็นคนท้องถิ่นที่เป็นชาว เจ๊เห ตากใบ ที่ยังพอพูดภาษาท้องถิ่นได้ เพราะใครจะเชื่อว่าภาษานี้เป็นภาษาที่มีรากเหง้าเก่าแก่ สำเนียงเสียงเหน่อมีความคล้ายคนอ่างทอง ราชบุรี สุพรรณบุรีและโคราช จนทำให้ภาษาสำเนียงใต้ของคนเจ๊เห มีเอกลักษณ์ที่แปลกแตกต่างจากสำเนียงใต้โดยทั่วไป น้องเค้าลองพูดให้เราฟังสองสามประโยค เราถึงกับยิ้มไม่หุบ สำเนียงที่น่ารักมาพร้อมกับการโหนเสียงที่ลากยาวในตอนท้ายที่เหมือนกับการร้องเพลง ฟังแล้วรู้สึกมีชีวิตชีวาดีจริงๆ
วัดชลธาราสิงเห เราเดินหาทางเข้าจากประตูตรงตลาด แต่พี่ๆทหารก็ได้ชี้ทางให้เราเข้าตรงทางประตูหลักแทน ซึ่งต้องเดินตามถนนอ้อมไปอีกค่อนข้างไกล ภายในวัดมีต้นไม้ใหญ่ที่ร่มรื่น เราเริ่มเดินฝ่าดงสุนัขที่เริ่มเห่ากันเกรียวมาที่กุฏิสิทธิสารประดิษฐ์ ที่ได้ใช้เป็นอาคารพิพิธภัณฑสถานวัดชลธาราสิงเหเพื่อเก็บโบราณวัตถุชิ้นสำคัญของวัด แต่ทว่าก็ล็อคกุญแจเพราะยังคงปิดทำการในช่วงการระบาด เราจึงได้แต่เดินเล่นอยู่รอบๆ
ประวัติของวัดนี้ก็มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ซึ่งได้สร้างขึ้นตั้งแต่เมื่ออดีตที่อำเภอตากใบยังเป็นส่วนหนึ่งของรัฐกลันตัน และเมื่ออังกฤษพยายามที่จะปักปันเขตแดนโดยใช้สันเขาหรือแม่น้ำเป็นเส้นแบ่ง พื้นที่ตรงนี้จึงต้องตกเป็นส่วนหนึ่งของแหลมมลายู แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐบาลสยามจึงถือยกเอาพระพุทธศาสนาและวัด โดยเฉพาะพระพุทธรูปปางมารวิชัยภายในซุ้มเรือนแก้ว ที่ใช้ชี้วัดแสดงความสำคัญของดินแดนที่มีพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองจนมิอาจจะสูญเสียหรือมาแบ่งแยกได้ จนทำให้วัดนี้มีชื่ออีกชื่อนึงว่า วัดพิทักษ์แผ่นดิน ภายในบริเวณยังมีสิ่งก่อสร้างทางพุทธศาสนาศิลปะฝีมือแบบไทยปักษ์ใต้ ผนวกกับช่างสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ภายในพระอุโบสถมีภาพวาดสีฝุ่นที่มีการใช้โทนสีที่พิเศษ สวยงามและน่ารักดี ซึ่งในวันที่เราไปยังไม่เปิดทำการ แต่เราก็ได้ไปขอกุญแจพระอุโบสถกับทางเจ้าอาวาสเป็นกรณีพิเศษ
อาคารศาลาธรรมและกุฏิพระก็ดีงามไม่แพ้กัน มีการใช้สีออกโทนตุ่นกะปิก็หาชมที่อื่นได้ยากยิ่ง ศาลาริมน้ำดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่พิเศษทำให้คนท้องถิ่นชอบมาที่นี่ แต่ละหลังตั้งอยู่ริมแม่น้ำที่เห็นวิวเกาะยาวอยู่ฝั่งตรงข้าม โดยแต่ละหลังจะมีป่าโกงกางคอยกั้นระหว่างกันดุจดั่งเป็นวิลล่าส่วนตัวให้กับผู้ที่ได้มานั่งพักผ่อน
ในส่วนของวัดที่เราชื่นชอบมากที่สุดกลับเป็นวิหารพระพุทธไสยาสน์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหน้าเจดีย์และวิหารพระนารายณ์ สร้างโดยพระครูสิทธิสารวิหารวัตรเมื่อปี พ.ศ. 2484 องค์พระจะประดิษฐานอยู่ในคูหาที่ประดับด้วยเครื่องถ้วยยุโรป จีน และ ญี่ปุ่น ก่อนที่จะเข้าในอาคารหลังนี้ต้องผ่านที่เก็บอัฐิธาตุเล็กบ้างใหญ่บ้าง ดูน่าขนลุกนิดๆเมื่อต้องอยู่คนเดียว พอเห็นองค์พระเราถึงกับขนลุกสะดุ้งตกใจ เหมือนเห็นท่านแอบมองเราจากในเงามืด เราเดินไปทางไหนก็ประหนึ่งถูกจับจ้องอยู่ตลอดเวลา ด้วยกาลเวลาและไม่ได้มีการบูรณะเพิ่มเติม จึงยิ่งทำให้ที่นี่ยิ่งดูขลังมากขึ้นไปอีก เราอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมท่านถึงประทับนอนขวางพระพุทธรูปที่น่าจะเดาได้ว่าเป็นพระประธานองค์เดิม จนทำให้เศียรของท่านโผล่ขึ้นมาเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น พอเริ่มเย็นเราจึงเดินกลับออกมาทางเดิมเพื่อที่จะเดินไปเที่ยวยังเกาะยาว ซึ่งเราต้องข้ามสะพานที่มีชื่อเรียกที่เราว่าสมเหตุสมผลในการขนานนาม
สะพานคอยร้อยปี ที่ตั้งชื่อได้สะใจจนคงไม่ใครกล้าเติมชื่อหรูๆพ่วงท้ายเหมือนสะพานอื่นๆ เมื่อก่อนชาวบ้านที่เกาะยาวจะเข้ามาทำธุระใดๆบนฝั่ง จะต้องใช้เรือเพียงอย่างเดียว แล้วต้องใช้เวลาในการรอคอยในการก่อสร้างจากงบส่วนกลางที่เป็นเพียงสะพานไม้ถึง 100 ปี ด้านบนฝั่งเราไปเมื่อวันเสาร์ซึ่งจะมีตลาดนัด มีของกินของใช้วางขาย เราซื้อไก่น้ำผึ้งอบโอ่งมาหลายชิ้น ให้ตัวเองส่วนหนึ่งและเหล่าน้องหมาอีกฝูงใหญ่ที่อยู่ตรงหัวสะพาน ริมน้ำมีเก้าอี้ยาวที่หันออกสู่เกาะที่เป็นวิวสร้างความรื่นรมย์ในขณะทานอาหารได้ไม่น้อย เมื่อเดินข้ามมาที่เกาะยาว จะเป็นชุมชนเล็กๆที่เข้าไปเดินเล่นได้ ในวันหยุดเด็กๆจะเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานทั้งฝั่งแม่น้ำและทะเล ที่หาดทรายก็มีคนท้องถิ่นมาพักผ่อนกันอย่างมากมาย ถึงแดดจะแรงแต่ลมทะเลก็ทำให้สดชื่นได้ไม่ยาก เราเดินผ่านพวกแพะ แกะและไก่ ไปหาที่นั่งในเงาร่มจากต้นมะพร้าว ชื่นใจกับบรรยากาศที่ออกจะเป็นเหมือนยูโทเปียเบาๆด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย
ขากลับเราเลือกใช้ถนนเส้นเล็กที่จะผ่านหน้าสถานีตำรวจตากใบและตัดเข้าชุมชนบ้านริมน้ำจนมาทะลุที่ถนนใหญ่อีกที พอเรากลับมาที่พัก เราก็สั่งอะไรมากินเล่นอีกทั้งๆที่ท้องยังอิ่ม นั่งดูนกนานาชนิดบินผ่านจนฟ้ามืด ที่นี่ดีงามเกินความคาดหมายเราไปมาก ถ้ามีโอกาสเราคงจะมาที่ตากใบอีกอย่างแน่นอน