REMINDING ME: Katha, Sagaing Region, Myanmar
เมื่อแรกถึงนั้น เมืองกะตา ในประเทศพม่า ใ หญ่และเจริญกว่าในกรอบจินตนาการทางความคิดของเรามาก ถนนกว้างแผ่ออกเข้าเมืองเบื้องหน้าอนุสาวรีย์ ‘วีรบุรุษอองซาน’ไปทางแม่น้ำเหมือนจะบ่งบอกอะไรบางอย่าง เมื่อออกไปเดินเล่นกับอากาศที่เริ่มเย็นช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ก็ทำให้เกิดความเหงาแปลกๆ ทั้งๆที่ยังไม่ได้ออกสำรวจความเปล่าเปลี่ยวส่วนอื่นใดนอกจากแถวท่าเรือเสียด้วยซ้ำ หรือจะเป็นความอาลัยที่มีต่อ ทะเลสาบอินดอจี อันเงียบสงบที่ได้จากมาก็เป็นได้
ในหนังสือเรื่อง พม่ารำลึก โดย George Orwell แต่งนิยายเรื่องนี้อิงจากประสบการณ์ช่วงปี 1920s ที่พม่ายังเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ในสมัยที่ยังทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในพม่า ตัวละครทุกตัวที่มีบทบรรยายเกินห้าบรรทัดสำหรับเราในหนังสือเล่มนี้ ล้วนมีนิสัยที่น่ารังเกียจ ไม่ว่าจะในทางใดก็ทางหนึ่ง และการบรรยายความงดงามเพียงสั้นๆแต่บ่นยาวๆในเรื่องดินฟ้าอากาศ สภาพการกินอยู่รวมทั้งดูแคลนผู้คนภายในเมืองกะตานั้น แทบจะไม่ได้เป็นผลดึงดูดในแง่บวกเลยสำหรับนักเดินทาง ที่จะทำให้เกิดความอยากมาเยือนเมืองเล็กๆแห่งนี้ แต่ทว่ากลับมีผู้คนที่อยากมาตามรอยหนังสือนิยายเล่มนี้กันเป็นจำนวนมากจนน่าแปลกใจ รวมถึงเราที่ชื่นชอบและรู้สึกถูกจริตกับหนังสือเล่มนี้อยู่มากเหมือนกัน
เมืองกะตา ที่นักเขียนเคยมาใช้ชีวิตอยู่ที่ช่วงหนึ่งในการมารับราชการเป็นตำรวจในช่วงที่พม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ซึ่งสถานที่สำคัญที่ใช้เป็นฉากหลังในนวนิยายหลายแห่งยังคงอยู่ครบถ้วน แต่ถ้าหากจะมองถึงความสวยงามหรือคุณค่าที่วัดได้ทางสายตาจากคนที่ไม่ได้เคยอ่านนวนิยายเรื่องนี้มาก่อน ก็คงจะไม่ได้ให้คะแนนกับสิ่งที่เห็นซักเท่าไหร่
หลายแห่งชำรุดทรุดโทรมเพราะกาลเวลา โดยส่วนตัวเราก็ตามไปดูในลิสแผนที่ที่หน้าบ้านของจอร์จ ออร์เวลล์ แสดงไว้ให้ ซึ่งก็ไม่ได้ไกลกันมากมาย เดินกันจริงๆไม่ถึงครึ่งวันก็ครบถ้วน หลายแห่งได้แต่ชะเง้อดูแค่ภายนอก จึงไม่ได้ใช้เวลานานเท่าไหร่นัก แต่การออกรอบนอกเส้นทางเพื่อชมบรรยากาศอื่นๆอันน่ารักของที่นี่ เพื่อเป็นส่วนผสมประกอบให้เป็นรูปร่างแห่งความเดียวดายของนายตำรวจ เราว่าน่าจะรู้สึกฟินกว่า
“คุณพอจะนึกภาพชีวิตของเราที่นี่ได้แล้วใช่ไหม ความรู้สึกที่แปลกทาง ความเดียวดาย ความวังเวง! ต้นไม้ดอกไม้ที่เราไม่คุ้น ภูมิทัศน์และใบหน้าผู้คนที่ล้วนแปลกตา”
พม่ารำลึก Burmese Days ของ จอร์จ ออร์เวลล์ นักเขียนชาวอังกฤษ
จากคำกล่าวในหนังสือ ซึ่งเมื่อเราชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกันมาเดินเล่น ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกแยกแตกต่างจากบ้านเราเสียเท่าไหร่ ซ้ำหลายคนที่พูดคุยทักทาย ยังคิดว่าเราเป็นคนพม่าไปเสียด้วยซ้ำ
นอกจากลิสรายการสถานที่ตามในหนังสือแล้ว บนถนนที่ตัดกันไปมาเป็นตารางในเมืองจะมีอาคารสิ่งปลูกสร้างอื่นๆที่ก็ดูน่าน่าสนใจ แต่วิวที่เราต้องมาเดินเล่นทุกวันกลับเป็นตรงแม่น้ำ ซึ่งในฤดูนี้อากาศเย็นสบาย สันทรายในน้ำโผล่ขึ้นมากลายเป็นหาดขนาดกว้าง บางช่วงของแม่น้ำตื้นเขินจนสามารถเดินไปนั่งเล่นที่อีกฝั่งนึงได้ ตั้งแต่บ่ายแก่ๆไปจนถึงช่วงเย็น จะมีผู้คนมาเล่นน้ำ ซักผ้า เตะฟุตบอล เดินเล่น รวมทั้งถ่ายรูปพรีเวดดิ้งกันริมน้ำ เสียงหัวเราะกับรอยยิ้มที่ร่าเริงมันยิ่งทำให้ห่างไกลความเดียวดายของนายตำรวจฟลอรี่ใน เบอร์มิสเดย์ ของ จอร์จ ออร์เวลล์ยิ่งนัก ถึงแม้เราจะไม่ได้รู้สึกไปในทางเดียวกับตัวเอก แต่กลับเห็นความน่ารักของเมืองๆนี้ ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่น่าจะชอบและอยากมาเที่ยวกัน
อินดอ (Indaw)
ห่างจากเมืองกะตาออกไปประมาณ 26 กม. จะมีอีกหนึ่งตำบลเล็กๆที่เราว่าก็น่ารักดี เพิ่งได้รับการส่งเสริมให้ผู้คนมาท่องเที่ยวจากทางการ เรารู้จักที่นี่จากการหาข้อมูลโดยการลองใช้ Google แปลเป็นภาษาพม่าถึงแหล่งท่องเที่ยวใกล้ๆเมืองกะตา แล้วนำไปลองหาใน Youtube ก็พบเมืองๆนี้ที่เป็นรายการท่องเที่ยวท้องถิ่นของพม่า เราเลยใช้คลิปๆนี้ มาสอบถามกับทางโรงแรมเพื่อหารถมอเตอร์ไซค์ในการพาไปเที่ยว ( 25000 Kyat)
แรกเริ่มเดิมทีจะนิยมในหมู่ชาวพม่าที่ต้องการมานมัสการพระที่วัด มาเล่ (Manlae) เท่านั้น ตรงกลางเมืองจะมี ทะเลสาบอินดอ ขนาดไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับที่อื่นๆ เป็นแหล่งเพาะปลูกดอกไม้ที่คนนิยมนำมาถวายวัด ซึ่งชาวสวนจะนำมาขายกันที่ริมถนน
เมื่อออกมานอกเมือง เข้ามาตามถนนลูกรังเพื่อมาที่วัด มันไกลจนเรานึกว่าหลง ต้องสอบถามกับชาวบ้านอยู่หลายครั้ง กว่าจะมาถึงที่วัดมาเล่
ที่นี่เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่ปีคศ. 1250 ต่อมาในปี 1946 พระอุโบสถได้ถล่มลงมาจากเหตุแผ่นดินไหว ทางวัดไม่ได้มีการซ่อมบำรุง แต่สร้างอาคารหลังใหม่แทน ซึ่งภายในประดิษฐานร่างพระสงฆ์ที่มรณภาพแต่พระสรีระสังขารไม่เน่าเปื่อย ชื่อ มาเล่ ซะยาดอ (Manlae Sayardaw) เป็นพระที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก
ติดกันจะมีอาคารไม้สักทั้งหลัง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป และของเก่าโบราณมากมาย มีอันนึงที่เราเห็นแล้วขนลุกมากคือ กระปุกที่ทำมาจากเท้าช้างจริงๆ
อินดอ เป็นเหมือนหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีทะเลสาบและวัดโบราณ ซึ่งเราว่าเป็นวัดที่สวยมากๆอีกวัดหนึ่งที่น่ามาเยี่ยมชม หากใครคิดว่ากะตากับจอร์จ ออร์เวลล์น้อยเกินไปสำหรับการท่องเที่ยว ความน่ารักในแบบบ้านๆของอินดอ ก็น่าจะเป็นส่วนเติมเต็มให้กับการเดินทางมาที่นี่ให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้
REMINDING YOU
การเดินทางจากทะเลสาบอินดอจี – เมืองกะตา
เรานั่งรถปิคอัพจากทะเลสาบกลับมาที่สถานีรถไฟโฮปิน (Hopin) มาขึ้นรถไฟเที่ยว 12.00 เพื่อไปลงสถานีนาบะ(Naba) ใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมง ราคา 1850 Kyat (upper class) แล้วต่อรถมอเตอร์ไซค์พ่วงจากสถานีมาลงในเมืองกะตา ในราคา 3000 Kyat ระยะทางไม่ได้ไกลมาก
การเดินโดยเรือทางจากเมืองกะตา- มัณฑะเลย์
เรือโดยสารจะออกจากท่าประมาณตี 5 สามารถซื้อตั๋วก่อนออกเดินทางได้(แต่เราพบว่าที่ขายตั๋วไม่เคยเปิดเลยซึ่งจะอยู่แถวAyarwady Guest House) หรือจะมาซื้อบนเรือแบบเราเลยก็ได้ ทางไปท่าเรือหายากและมืดมาก และไม่ได้จอดอยู่ที่ท่าน้ำใกล้เมืองตรงที่เราเคยไปเดินเล่นบ่อยๆ ทางโรงแรม Hotel Katha กลัวเราหลงเลยขับรถมาส่งให้แบบถึงที่ ต้องขอขอบคุณมาณ ที่นี้ด้วยครับ
มีเรือช้าที่ต้องค้างบนเรือหนึ่งคืน ใช้เวลา 24-40 ชม. ราคา ดาดฟ้า 9 / ห้องโดยสาร(ห้องรวม4คน) 45 ดอลลาร์ (จ./พ./ศ.) เป็นของรัฐบาลสภาพไม่ได้ดีมาก
เราไปเรือเร็วที่ใช้เวลา 12-16 ชม. ราคา 25000 Kyat (ทุกวัน) เวลาในการเดินทางจะขึ้นอยู่กับระดับน้ำ ช่วงหน้าแล้งจะมีหมอกกับสันทรายทำให้การเดินเรือยากและใช้เวลามากขึ้นกว่าเดิม
ในช่วงเช้าเรานั่งๆนอนๆบนเบาะอยู่หลายท่า แต่สุดท้ายก็ยกกระเป๋ามานอนอยู่ท้ายเรือตรงที่เป็นกองไม้สักคลุมผ้าใบไว้ เพราะเริ่มเมื่อยและปวดหลังมาก ถึงแม้จะใกล้เครื่องยนต์ที่ส่งเสียงดัง และกองไม้ก็มีกลิ่นตุๆเหมือนอึทารก แต่ก็เป็นท่าที่สบายที่สุดสำหรับการเดินทางระยะยาวแบบนี้
ตลอดเส้นทางมีชาวบ้านขนส่งหรือรับสินค้ากันตลอดทาง ของบางอย่างหนักและใช้เวลาในการขนถ่ายมาก จึงทำให้เสียเวลาไปกับส่วนนี้
ความเวิ้งว้างของอิรวดีวิวทั้งสองฝั่งทำให้เราแทบไม่ได้นอน นั่งมองอะไรไปเรื่อยเปื่อยกับอากาศที่เย็นสบาย ถึงแม้จะไม่ค่อยสะดวกกับ 16 ชม.ที่ต้องอยู่บนเรือ โดยเฉพาะช่วงท้ายๆของการเดินทางที่ใกล้จะถึงมัณฑะเลย์ เรือหลงเข้าไปอยู่ในเขาวงกตของเนินทราย ต้องถอยเข้าถอยออกในความมืดอยู่นาน และเป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง เรามาถึงท่าเรือเอาตอนเกือบห้าทุ่ม
และเมื่อถามถึงความคุ้มค่าที่ต้องแลกมากับความเมื่อยล้าจนปวดหลัง กับวิวที่สวยงามก็เป็นส่วนหนึ่งที่ดีงาม แต่สิ่งที่หาไม่ได้จากการเดินทางแบบอื่น นั่นก็คือได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนที่พึ่งพาแม่น้ำสายแห่งนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งนับว่าเป็นรางวัลแห่งการเดินทางในครั้งนี้มากที่สุด และถามต่อไปอีกว่าให้มานั่งเรือแบบนี้อีกไหมในเร็วๆนี้ ตอบได้ทันทีเลยว่า…….แหะๆ