REMINDING ME: Ha Giang ,Vietnam
ตอนที่ 2 เที่ยวเวียดนามเหนือ หน้าฝน 16 วัน
ฮาซาง จังหวัดแห่งการรอคอยของทริป รักที่นี่มากถึงขั้นมาเวียดนามก็คือจะเอา ฮาซาง เป็นตัวตั้ง แล้วค่อยหาที่อื่นๆเที่ยวเสริมในวันที่เหลือ จะว่าไปถ้าไม่มีจังหวัดนี้เราอาจจะไม่มาที่เวียดนามอีกเลยก็ได้ ครั้งแรกของการมาเที่ยวประเทศนี้ ในตอนนั้นคือเรายืนหดหู่โดนชาวเขาที่รุมเดินตามเราจากท่ารถในซาปาจนถึงที่พักเพื่อยัดเยียดขายของ หรือจะบอกปัดคนมาชวนดื่มกาแฟเพื่อคุยธุรกิจทั้งๆที่เพิ่งเดินสวนกันในลานกว้าง(มีคำเตือนในเน็ตมาก่อนหน้าถึงเรื่องเหล่านี้) และการต่อกรกับแท็กซี่จนต้องลงจากรถกลางทางถึงสองรอบติดกัน ในตอนนั้นคิดแค่ว่าซาปาก็สวยดีแต่อยากกลับบ้านมาก ที่นี่ไม่มีอะไรให้เราตามหา รู้สึกไม่ใช่ที่สำหรับเราตั้งแต่มาถึง แต่พอเริ่มออกไปตลาด Bac Ha แล้วนั่งรถมาลงที่ ฮาซาง ความเบิกบานสดใสก็ส่งผลให้เราตกหลุมรักในทันที เหมือนเป็นใบเปิดใจให้เราอยากไปเที่ยวเมืองอื่นในเวียดนามในเวลาต่อมาอีกด้วย
จาก นิญบิ่ญ มาฮานอยใช้เวลาไม่นาน ฝนที่เกิดจากพายุเมื่อคืนยังตกๆหยุดๆ หลายแห่งมีน้ำท่วมขังจนทำให้รถที่มาส่งเรายังโรงแรมใช้เวลามากกว่าปกติ พอเราวางกระเป๋า น้องพนักงานทำหน้าเจื่อนๆอย่างหมดแรง ถามว่าเรารีบไหมตอนนี้วุ่นวายมาก เมื่อคืนเที่ยวบินยกเลิกและคนไม่ออกไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน มันทำให้ลูกค้าที่โรงแรมมีตกค้างอยู่เยอะมาก เราเลยออกไปหาซื้อของให้หลานที่เป็นลูกของเพื่อนก่อน ฝนเริ่มตกลงมาอีก เราปักหมุดใน google ที่เป็นร้านขายเลโก้ ที่นี่ค่อนข้างไกลแต่เราก็จะเดินไปให้ถึง (คิดไปเองว่าจะต้องเป็นร้านอลังการที่เห็นริมถนนเมื่อวันก่อน) ปรากฎจุดหมายเป็นบ้านของใครก็ไม่รู้ บริเวณนี้เป็นชุมชนที่ค่อนข้างจะแออัด เรารีบเดินออกปักหมุดอีกแห่ง พอถึงแล้วกลายเป็นร้านเสื้อเวรตะไลสีสันน่าเกลียด(ชักเริ่มพาล)
เอาใหม่ ในใจคิด ปักหมุดเลโก้เฮ้าส์อีกแห่งที่ห่างไปเกือบสองกิโลเมตร เราเดินข้ามถนนที่ดูงงๆจนมาถึงซอยที่อยู่ต่ำกว่าถนนใหญ่กว่าสองเมตร map บอกให้เราเลี้ยวตรอกเล็กๆก็จะถึง เราลุยน้ำที่เลยตาตุ่มมาสักพักใหญ่ เสียง google ร้องบอกว่าคุณมาถึงแล้ว อีเวร คิดในใจแต่ก็หลุดปากออกมา ด้านหน้าเราเป็นตึกแถวเก่าๆที่ไร้วี่แววของกิจการค้าขายใดใด พอกันทีกับการหาเลโก้ลิมิเต็ด ปักหมุดใหม่ไปร้านขายของเล่นธรรมดาในเมืองพอ
ปัญหาอย่างหนึ่ง ไม่สิ สองอย่างในเวียดนาม คือการที่หลายคนทำธุรกิจมากมายหลายอย่าง บ้านแทบทุกหลังจะเป็นกิจการไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง จึงทำให้เกิดการสร้างหมุดใน google map ขึ้น มีทั้งเปิดมั่งไม่เปิดมั่ง หรือล้มหายตายจากไปนานแล้วแต่หมุดก็ยังอยู่
อีกสิ่งก็คือทักษะการถ่ายรูปที่พักของโรงแรมต่างๆ มันอยู่ในขั้นมืออาชีพ ภาพเหมือนหลุดมาจากนิตยสาร elle decor ยิ่งมือถือมีเลนส์อัลตร้าไวด์นั้นมันยิ่งทำให้ภาพที่เห็นกับสิ่งที่ได้ช่างเหมือนการออกเดทกับคนที่หน้าและหุ่นไม่ตรงปก เรามักจะไม่สบายใจกับที่พักที่ใช้คำว่า boutique, luxury, exclusive…. เพราะเรารู้ตัวดีกับงบประมาณไม่เกินพันบาทกับความหรูหราที่น่าจะได้รับ
เมื่อเราเดินกลับมาถึงที่พักพร้อมเลโก้คลาสสิกกล่องใหญ่ พนักงานรีบมาขอโทษบอกถึงเรื่องเคลียร์ห้องไม่ได้จริงๆจากเหตุพายุเข้า มันทำให้แขกไม่ยอมเช็คเอาท์ เราจึงต้องย้ายจากโรงแรม boutique แห่งหนึ่งมายัง โรงแรม exclusive อีกแห่งหนึ่งแทน
เพื่อนจาก ฮาซาง ส่งข้อความบอกว่าพรุ่งนี้ให้เรียก Grab ไปลงที่ที่หนึ่งซึ่งเป็นจุดขึ้นรถ รถนี้เป็นสิ่งที่เราร้องขอเพราะมันหรูหราและรวดเร็วกว่ารถทัวร์นอนมากอยู่ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยวิธีการที่รู้กันเฉพาะคนท้องถิ่นเท่านั้น เราพยายามลองกดดูแต่แผนที่เวรกรรมใน Grab ก็ไม่มีตำแหน่งขึ้นรถที่ว่านั่น หาเท่าไร่พิมพ์เพิ่มตามเพื่อนกล่าว ที่อยู่ก็ยังไม่ปรากฎใกล้เคียง ในใจได้แต่โกรธร้านเลโก้ที่ไม่มีอยู่จริงแทน
ตอนเช้าที่ฝนเริ่มตกเราออกจากโรงแรมก่อนเวลาขึ้นรถหนึ่งชั่วโมง เราเรียกแท็กซี่พร้อมยื่นโทรศัพท์ให้คุยกับเพื่อนซึ่งเป็นสิ่งที่ง่ายสุดในการแก้ปัญหา รถออกมาได้ไม่นานก็ติดสนั่น น้ำตามถนนเล็กยังท่วมอยู่ตลอด การจราจรในเมืองใหม่ที่ใกล้จุดขึ้นรถคือนรกดีดีนี่เอง ถนนที่ถูกการก่อสร้างรถไฟฟ้าทำให้ทุกอย่างดูแย่ลงไปอีก เพื่อนส่งข้อความมาตลอดว่าจะถึงหรือยัง เพราะทางบริษัทรถโทรมาตาม เอาจริงๆเราตอบไปว่าใกล้ถึงแล้วทั้งๆที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน รถมาจ่อทางเข้าถนนแห่งหนึ่งที่น้ำท่วมสูง คนขับคิดอยู่นานแล้วเร่งเครื่องลุยเข้าไป พอมาถึงเรารู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เด็กรถดูหงุดหงิดทั้งๆที่เรามาถึงก่อนเวลาออกเกือบสิบนาที
พอใกล้ถึง ฮาซาง เพื่อนบอกจะมารอรับที่สถานีขนส่ง พอเราลงรถก็กลายเป็นตึกข้างถนนใหญ่แทน จึงโทรบอกเพื่อน ขนส่งที่ไม่มีใครใช้เราก็งงอยู่ สถานีที่ดูเรียบร้อยแต่ทิ้งร้างเพราะบริษัทรถต่างออกมาจอดที่ออฟฟิศของตัวเองกันแทบจะทั้งนั้น เราทักทายเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานสามปี คิดถึงและดีใจมากที่เพื่อนสบายดี ช่วงเวลาที่ผ่านมาเรารู้ว่าเป็นความยากลำบากของคนที่อยู่ในสายอาชีพท่องเที่ยวมากจริงๆ พอมาถึงบ้านเรารีบเอาเลโก้ให้หลานเป็นสิ่งแรก สีหน้างุนงงกับกล่องใบใหญ่คือสิ่งตอบแทน (ความดีใจของคนต่างรุ่นคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้าเป็นเราคงดีใจจนฉี่ราดกางเกงแล้วแน่นอน) พอเอากระเป๋าไปเก็บเดินลงมา หลานรีบวิ่งกลับมาที่กล่องเหมือนพยายามจะเอาใจว่าก็ดีใจอยู่นะลุง (ก่อนหน้านั้นคือไปกระโดดโลดเต้นกับการ์ตูนยูทูปเบอร์ในทีวี)
เพื่อนเราชวนออกซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปบนเขาที่บ้านเพื่อนพร้อมกับลูก แค่ไม่ถึงสิบนาทีบรรยากาศจากเมืองเปลี่ยนเป็นชนบทที่สวยงามได้อย่างสิ้นเชิง นาขั้นบันได ลำธาร ทำให้แถวนี้ดูดีมาก เตียบ (เพื่อนเรา)แนะนำให้รู้จักกับเพื่อนอีกสองคน ทั้งคู่ประกอบอาชีพไกด์อิสระเหมือนกัน แต่ตอนนี้พ่วงตำแหน่งดาวติ๊กต๊อกที่นำเสนอแหล่งท่องเที่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้าไปด้วย เราดื่มชากันสักพักก็ออกมาที่ใจกลางหมู่บ้านชาวเย้า Dao (ซาว) เพื่อนเตียบนัดสาวๆมาถ่ายคลิปเล่นกันในช่วงวันหยุด พอมาถึงที่บ้านหลังหนึ่งริมขอบนาขั้นบันได มีสะพานไม้ทอดข้ามลำธารเล็กๆ ที่ตรงนี้โคตรจะน่ารักเอามากๆ พี่สาวคนนึงนั่งร้องเพลงในท่วงทำนองที่ต้องทำให้ต้องหยุดฟัง มันเพราะและดูเหงาหงอยแต่เพลิดเพลินอย่างบอกไม่ถูก เพื่อนเตียบบอกว่าฟังไม่ออกในการตีความเหมือนกัน แต่ด้วยที่นี่ไม่ได้มีอะไรให้ทำมาก เมื่อชายหนุ่มคนอื่นได้ยินเสียงนี้ ก็จะทำการช่วยตัวเองกัน เค้าเล่าแบบๆเขิลจริงเท็จหรือจะแค่หยอกเราก็ไม่รู้ หลังจากที่เดินชมนากันพอหอมปากหอมคอก็ต้องรีบกลับ เพราะฝนตั้งเค้ามาทำท่าจะตกหนัก ห่วงเจ้าตัวเล็กเด็กน้อยที่ซ้อนมาด้วยเดี๋ยวจะเปียกเกิน
ช่วงเช้ารุ่งขึ้นเราเตรียมเก็บของเพื่อที่จะออกเที่ยวกัน คราวนี้จะมีน้องผู้หญิงจากทางเวียดนามใต้ขอตามมาเที่ยวด้วย ทริปนี้เราจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่ อำเภอ Hoang Su Phi (หวางซูฟี่) เมื่อมารับน้องจางที่เพิ่งมาถึงตอนเช้าเพื่อเช่ารถมอเตอร์ไชค์ที่ Ha Giang Cozy Hostel ด้วยท่าทางที่นางเรียบร้อยตัวเล็ก เสียจนพวกเราคิดว่าจะไหวหรือไม่กับการขี่มอเตอร์ไซค์ที่ทางค่อนข้างไกล
พอได้รถเราหาอาหารเช้ากินแล้วมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้าน Ban Ha Thanh ใกล้ๆตัวเมือง ฮาซาง กัน เพราะเห็นว่าเวลายังได้อยู่ จะได้เป็นการดูเชิงน้องจางด้วยว่าจะขี่ไหวไหม หมู่บ้านที่เรามาแวะจะมีน้ำตกรูปหัวใจอยู่ท้ายหมู่บ้าน บรรยากาศของทุ่งนากับธารน้ำก็ทำให้ที่นี่พิเศษมากจริงๆ เสียดายที่ตั้งแต่โควิดก็ยังไม่มีการปรับปรุงสถานที่ จึงทำให้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาค้างแรมสักเท่าไหร่
ผ่านไปเกือบชั่วโมงเรามาแวะพักที่ร้านขายน้ำตรงทางแยก ตอนนั้นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าๆ คนขายบอกให้พวกเรารีบออกเดินทาง เพราะคนงานที่ซ่อมถนนกำลังจะพักเที่ยงพอดี ทางจาก ฮาซาง มายัง Hoang Su Phi กำลังขยายถนนจึงทำให้มีทั้งฝุ่น โคลนเละเทะตลอดทาง
เราเลยป้ายยินดีตอนรับเข้าเขตอำเภอ Hoang Su Phi มาไกลมาก แต่เส้นทางก็ยังเหมือนมาไม่ถึงไหนเสียที เราจอดที่จุดชมวิวทุ่งนาแห่งหนึ่ง ซึ่งด้านล่างมีต้นข้าวสีเลือดหมูเข้มที่ปลูกเรียงเป็นชื่ออำเภออยู่ด้านล่าง เตียบเพื่อนเราก็ชวนว่าให้ขี่รถลงไปข้างล่างกัน พอลงมาถึงเราก็จอดรถแล้วเดินเท้าเข้าไปยังตำแหน่งคำที่เห็น เสียงหมาเห่าเริ่มดังมากขึ้น เจ้าของบ้านออกมาสอบถาม เตียบขออนุญาตเข้าไปชมทุ่งนาใกล้ๆพร้อมกับทาบทามถึงเรื่องอาหารกลางวันว่าสามารถจัดเตรียมให้ได้ไหม แต่ตอนนี้ในครัวว่างเปล่า เราเลยเข้าไปชมทุ่งนาในระยะใกล้กันเฉยๆ
พอกลับมาที่ถนนใหญ่ หลังจากผ่านด่านถนนที่กำลังก่อสร้างมาได้ประมาณหนึ่งซึ่งคิดไปกันเองว่าอีกไม่นานก็คงจะถึงที่พัก ระยะทางที่มาจากตัวเมือง ฮาซาง คือร้อยกิโลเมตรกว่าๆ แต่นี่บ่ายแก่มากแล้วทว่ามอเตอร์ไซค์ของพวกเรายังขี่กันไปไม่ถึงไหน อุปสรรคใหญ่ในช่วงนี้คือการก่อสร้างถนน ที่ทำกันจริงจังตั้งแต่ระเบิดภูเขาจนถึงแค่เกลี่ยดิน ฝนที่กระหน่ำมาตอนเช้าได้สร้างทะเลโคลนที่ทำให้ชีวิตบัดซบเข้าไปใหญ่ เราเจอด่านที่ปิดเพื่อซ่อมถนนเป็นช่วงๆ ซึ่งปิดกันจริงจังด่านละครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ผ่านด่านหนึ่งก็มาเจอกับอีกด่านหนึ่งสร้างความท้อแท้และหิวโหยมาก ห้าโมงครึ่งแล้วแต่ก็ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันเลย นั่งคุยกับเพื่อนตั้งแต่เรื่องในอดีตจนถึงอนาคตรู้สึกหมดแรงแทบจะหาใบไม้แถวนั้นมาเคี้ยวเล่นแก้หิว
กว่าที่พวกเราจะมาถึงที่พัก Ban Phung (หมู่บ้าน บั่นฟง) ก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่มสร้างความเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก (ขนาดเราแค่ซ้อนท้ายเพื่อนมาไม่ได้ขี่เองยังปวดไปทั้งร่าง น้องจางเก่งมากจริงๆ เรื่องถนนยากลำบากแค่ไหนนางไม่บ่น แต่ความมืดทำให้แค่รู้สึกกลัวผี นี่ดีที่ไม่ได้เป็นคนซ้อนเตียบ เพราะคนนี้ก็หยอกถามเราว่าเห็นผีไหมอยู่ตลอดทาง ถูกใจคนชอบเรื่องลี้ลับแบบเราเป็นที่สุด) ได้ข่าวมาว่าอีกสามปีถนนจึงจะเสร็จสมบูรณ์ดี ถ้าใครจะมาควรวางแผนเรื่องเวลาให้ดีไม่งั้นคงจะแย่ได้ตั้งแคมป์กันกลางถนนแน่ๆ เส้นทางนี้เคยฮิตมาก มีภาพหมู่บ้านที่มีนาขั้นบันไดอยู่ในอินเตอร์เน็ตมากมายเต็มไปหมด แต่ช่วงนี้ในขณะที่ข้าวยังเพิ่งตั้งรวง นักท่องเที่ยวที่มาจึงมีจำนวนน้อยมาก เรียกว่าไม่มีเลยจะดีกว่า จึงทำให้นาขั้นบันไดที่นี่สงบมากกว่าที่อื่นๆในเวียดนามในช่วงเวลานี้
ตอนกลางคืนที่มาถึงที่พักไม่รู้จริงๆว่าหน้าตาวิวรอบๆเป็นอย่างไร เสียงไก่ขันทำให้พวกเราตื่นกันตั้งแต่เช้า เตียบเป็นผู้ชื่นชอบการล่าหมอกเมฆด้วยโดรนเป็นที่สุด เราทั้งคู่ต่างวิ่งขึ้นวิ่งลงบนบ้านและออกมาดูวิวที่ถนนทั้งๆที่งัวเงียยังกันอยู่ ท้องฟ้าและหมอกที่นี่เปลี่ยนเร็วมาก พระอาทิตย์ที่ควรจะส่องให้ทุ่งข้าวสว่างสดใสเหมือนในภาพถ่ายก็หลบอายอยู่ในเมฆหนา แต่หมอกที่ปลิวผ่านก็ทำให้ภาพที่เห็นดูสงบเย็นดีไปอีกแบบ เตียบพาเราไปที่จุดชมวิวและพยายามหาจุดที่เห็นความงดงามของหมู่บ้านอยู่หลายแห่งก่อนที่จะกลับมากินข้าวเช้ากัน
พอเริ่มสายเตียบพาเราเลาะทุ่งนาไปตามทางเดินเล็กๆอย่างระมัดระวัง (การเดินในทางคันดินที่นุ่มนิ่มหน้าฝนต้องระวังทั้งอันตรายจากการล่วงหล่นแล้ว การซ่อมแซมขั้นบันไดคงไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนักกับผู้คนที่ใช้เพียงจอบเสียมในการสร้างมันขึ้นมา รวมทั้งความสูญเสียข้าวและพืชผลทางการเกษตรที่นักท่องเที่ยวเหยียบย่ำทั้งแบบตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เราควรระวังเรื่องนี้ให้มากๆ)
ชาวเขาเผ่า La Chi ลาจี๋ ที่มีการใช้ภาษากลุ่มไทกะไดแบบเดียวกับเราสร้างชุมชนอยู่บริเวณนี้ ที่นี่เป็นแหล่งในการชมทุ่งนาขั้นบันไดในที่สูงอันมีชื่อเสียงมากในเวียดนาม แต่ด้วยความยากลำบากจึงทำให้น้อยคนนักที่จะเลือกมาเยือนที่แห่งนี้ พอเดินผ่านเจอผู้คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่กำลังทำงานบ้านหรือกำลังง่วนกับแปลงเพาะปลูกแถวบ้าน เมื่อเตียบพูดคุยถามถึงเรื่องต่างๆ เจ้าของบ้านที่กำลังต้มเหล้าที่หมักจากข้าวโพดก็เชื้อเชิญให้เข้าไปด้านในพร้อมดื่มชาสมุนไพรที่เก็บมาจากบนเขาอย่างไม่ลังเล
การมาเที่ยวกับไกด์ท้องถิ่นในบริเวณนี้มีความสำคัญมาก ไม่เช่นนั้นเราก็คงได้แต่เดินไปมาเพื่อชมความงามที่เห็นได้ด้วยตาเพียงเท่านั้น แต่น้ำจิตน้ำใจหรือบทสนทนาที่ลื่นไหลแบบที่ทำให้คนต่างถิ่นอย่างเรารู้สึกซาบซึ้งคงจะไม่เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ถึงแม้เรื่องราวที่พูดคุยจะเป็นเรื่องทั่วๆไปแต่การที่พวกเราตื่นเต้นกับไข่ไก่ การย้อมผ้าและเรื่องอื่นๆก็สร้างรอยยิ้มให้กับพวกเค้าได้เช่นกัน
เจ้าของโฮมสเตย์ ได้แนะนำกับเตียบให้ใช้เส้นทางอ้อมเขาตามตะเข็บชายแดนจีน เพื่อเดินทางไปเมือง Xin Man (ซินเหมิน) จุดหมายต่อไปซึ่งจะสวยกว่ามาก
แล้วก็สมคำร่ำลือจริงๆ วิวสองข้างทางจะเริ่มจากป่าสนที่มีกลิ่นหอม มีหมอกพัดผ่านไปมาทำให้สดชื่นสุดๆ พอถึงวิวเปิดก่อนที่จะเริ่มไต่ลงเขา ก็จะเห็นวิวที่อลังการมาก ภูเขาที่แผ่กว้างและสูงจนทำให้ภาพที่เห็นเหมือนเราบินอยู่บนท้องฟ้า ประหนึ่งแผ่นดินมันตั้งขึ้นมาแบบในหนังอินเซ็ปชั่น งงกับเปอสเป็คทีฟของน้ำตกที่สูงเสียดฟ้าแต่เราก้มลงมองเห็นได้จนมันดูแผ่แบนแบบประหลาด
แถวนี้มีดอกไม้สีขาวไม่ทราบชื่อที่มีกลิ่นหอมเหมือนมหาหงส์ตลอดทาง น้ำตกข้างทางก็มีให้เห็นเป็นสิบๆแห่ง บางที่ดูสวยงามจนน่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้เลยทีเดียว เป็นเส้นทางที่ 20กิโลที่อ้อมแล้วเพลิดเพลินมากจริงๆ
หลังจากเก็บกระเป๋าที่ Nam Danโฮมสเตย์ (จริงๆชื่ออะไรก็รู้เพราะตอนกดหาที่พักคือมันขึ้นแค่ว่าโฮมสเตย์) เจ้าของที่พักก็แนะนำให้เรารีบไปที่ Suoi Thau ให้ตัดน้ำตกทิ้งไปก่อน ถ้าอยากจะแวะดูหินโบราณ Bãi đá cổ ก็ยังพอทันอยู่ แต่อย่าเถลไถลไปที่อื่นเพราะทางขึ้นจากในเมืองที่บอกว่าแค่ห้ากิโลเมตร แต่ว่ามันเป็นทางที่โหดหินมากจริงๆ เราออกจากที่พักตอนบ่ายสามมาถึงลานจอดของก้อนหินสลักโบราณใช้เวลาแค่ห้านาที แต่หินดังกล่าวดันต้องเดินขึ้นเขาไปอีกค่อนข้างไกล มาถึงก้อนแรกก็มีบันไดเหล็กที่กระง่อนกระแง่นให้ปีนขึ้นไปดูความว่างเปล่า หินไม่มีร่องรอยขีดเขียนหรือสลักใดใดเลย เราเดินต่อกันไปอีก คราวนี้ถึงพบกับรอยสลักนูนเหมือนอักษรจีนโบราณ ความคุ้มค่าของการมาดูหินเท่ากับศูนย์ แต่ระหว่างทางที่ผ่านหมู่บ้านทุ่งนาลำธารก็ยังถือว่าน่ารักอยู่
เรารีบเร่งเครื่องไปให้ถึงเพราะกลัวค่ำ ที่ Suoi Thau นี้ยังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนักแม้กระทั่งในหมู่คนเวียดนามเองก็ตาม เตียบเคยเปิดรูปให้ดูแล้วพูดถึงสถานที่นี้ว่าเป็นสวิตเซอแลนด์แห่งเวียดนาม ซึ่งทำให้ความคาดหวังของพวกเราไม่ได้สูงมากนักจากสโลแกนที่ได้ยิน เพราะส่วนใหญ่จะเป็นทุ่งหญ้าแล้วมีภูเขาแค่นั้นก็คือสวิตเซอแลนด์แต่ที่ Suoi Thau นั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
เมื่อรถมอเตอร์ไซค์ของพวกเรามาถึง แค่เหลียวมองจากหางตาก็เบรครถกันตัวโกง วิวภูเขาที่นี่มันสวยมากจริงๆ ทางด้านขวาเป็นภูเขาหินปูนที่ถือว่าเป็นสเน่ห์ของ ฮาซาง ด้านซ้ายเป็นภูเขาสูงที่ลาดลงมาในแบบซาปา แม่น้ำตรงกลางในหุบลึกก็ทำให้นึกถึง Ma Pi Lang Pass อันโด่งดังที่เรามาเมื่อครั้งก่อน เราเลิ่กลั่กกันอยู่ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนอย่างไร เพราะที่นี่เป็นจุดชมวิวที่เป็นของคนในท้องถิ่นจริงๆไม่มีป้ายไม่มีสัญลักษณ์ใดๆบ่งบอกว่าจะให้เริ่มต้นตรงจุดใด มีแต่พื้นที่เกษตรกรรมทั้งหมด รูปในเน็ตที่คิดว่าเป็นหญ้าแท้จริงแล้วเป็นต้นข้าวแทบจะทั้งนั้น
พวกเราตัดสินใจขี่รถไปให้สุดทาง ถ้าตรงไหนสวยถูกใจกว่าค่อยย้อนกลับมา ที่ตื่นเต้นเพราะตะวันเริ่มคล้อยต่ำ จึงอยากหาจุดที่เหมาะให้ได้ก่อนที่จะสายเกิน แต่ที่นี่ก็ดูกว้างใหญ่ บนเนินหญ้าที่คนส่วนใหญ่มาจอดรถมันดูเหมือนยังไม่ใช่ แม่น้ำที่เห็นมันโดนเนินบังมากไปหน่อย เตียบจึงลองขึ้นโดรนดูรอบๆเพื่อหาที่ทาง
คนท้องถิ่นคนนึงก็เข้ามาพูดคุยอาสาพาขี่รถลงไปตรงจุดที่พวกเราคิดว่าน่าจะดีที่สุด พอรถมาถึงปากทางที่เป็นที่ส่วนบุคคล มันลาดลงและลื่นจนเหมือนเป็นสไลเดอร์ เตียบจอดรถแล้วกระโดดซ้อนพี่เค้าลงไปสำรวจก่อน เรากับจางค่อยๆเดินตามลัดเลาะลงเขาไปทีหลัง
พอลงเนินมาเลยยอดไม้บังเราถึงกับร้องคราง แสงที่รอดระหว่างเมฆทำให้ที่นี่ดูเหมือนสรวงสวรรค์ แดดที่โผล่บางช่วงออกสีส้มอ่อนแบบที่พระอาทิตย์คล้อยต่ำควรจะเป็น บางครั้งผ่านเมฆฝนที่ทะมึนทึน ท้องฟ้าก็กลับออกเป็นสีเทานวลดูฟ่ามฟุ้งเหมือนมุ้งยักษ์ที่ขึงท้องฟ้าอยู่ เราเดินไปมาแทบไม่ดูทางสะดุดกับอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา พวกเราอยู่ที่นั่นจนพระอาทิตย์ตกดิน พี่คนที่อาสาพามาชวนไปดื่มชาที่บ้านต่อเพื่อสนทนา เขาค่อยๆพาน้องจาง เราและเตียบซ้อนมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาถึงสองเที่ยว วันนี้เป็นวันที่รู้สึกฟินบรรลุพลุแตกของทริปจริงๆ ไม่ได้ใจเต้นแรงเมื่อเห็นวิวแล้วถึงขั้นครางเบาๆแบบนี้มานานหลายปีแล้ว เราอ้อยอิ่งอยู่นานจนมืดกว่าจะกลับถึงที่พัก
ที่พักในแถบนี้ที่อยู่นอกเมืองส่วนใหญ่จะเป็นในรูปแบบโฮมสเตย์ ที่เรากินอยู่หลับนอนกับเจ้าของบ้านจริงๆ แต่จะมีม่านมีมุ้งแบ่งเป็นสัดส่วน ซึ่งเราค่อนข้างชอบที่พักแบบนี้มาก เจ้าของบ้านก็เป็นชาติพันธุ์ที่ใช้ภาษากลุ่มไท ซึ่งคำสื่อสารบางคำก็เป็นเช่นเดียวกับเรา กินน้ำ กินข้าวรวมทั้งการนับเลข พวกเรามาถึงที่พักกันจนดึกประมาณสองทุ่มกว่า เจ้าของบ้านจึงเริ่มทำกับข้าวในเวลานั้น ทีแรกคิดว่ามีแต่เพียงเราที่จะกินข้าวมื้อดึก แต่พวกเค้ากลับรอเพื่อที่จะกินด้วยกันกับเรา สร้างความรู้สึกผิดที่เถลไถลจนลืมคำนวณเวลาขากลับจริงๆ
บรรยากาศยามเช้าที่นี่ดีมาก วิวของโฮมสเตย์ก็อยู่ในจุดที่มองเห็นหุบเขาสวยงาม หลังจากลาพวกเราก็ต้องเดินทางไกลกลับ ฮาซาง ด้วยความอาลัย เพราะวันนี้มันเป็นวันสุดท้ายที่จะได้อยู่ในจังหวัดที่เรารักมากที่สุดในเวียดนาม ระหว่างทางเราแวะถ่ายรูปทุ่งข้าวและน้ำตก ขากลับเราขี่กันอย่างเชื่องช้าเพราะรู้ว่าเวลาที่ชื่นชอบกำลังจะหมดลง
เมื่อเข้ามาถึงตัวเมืองฮาซางอากาศร้อนเหมือนตกนรก ขาเราไหม้แดดเป็นรอยแดงแสบร้อนเลยทีเดียว ถ้าใครจะขี่มอเตอร์ไซค์ในระยะทางที่ยาวนานควรแต่งตัวให้มิดชิด อย่ามัวห่วงร้อนนุ่งสั้นแบบเราทั้งๆที่เพื่อนเตือน กางเกงขายาวนอกจากช่วยกันเรื่องแดด การเดินผ่านทุ่งข้าวที่มีใบแหลมคมก็ยังป้องกันในเรื่องนี้ได้ ตอนนี้ขาเราลายพร้อยมาก
พวกเรามาซื้อของกินแล้วเข้าบ้าน คุณยายของเตียบไปเก็บผักข้างบ้านมาเตรียมผัดกินพร้อมกับเป็ดย่างที่เราซื้อ เราซักเสื้อผ้าจัดกระเป๋าคืนนี้เตรียมออกเดินทางไปซาปาต่อคนเดียว ส่วนเลโก้ที่เราให้กับหลานเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง มีทั้งรถ บ้านดูเข้าทีอยู่ (ในตอนแรกที่เรากะอวดภูมิกับหลานคือจะพยายามต่อให้เหมือนรูปต้นแบบ แต่ชิ้นส่วนที่เล็กละเอียดจนน่าโมโหทำให้เราต่ออะไรไม่สำเร็จสักอย่าง) เราจากลากับครอบครัวเตียบแบบเร่งรีบ เพราะมัวแต่เล่นกันจนลืมดูเวลา คนรถซาปาต้องโทรมาตามให้ไปดักรอ
ถ้าใครอยากมาเราจะทิ้งเบอร์ติดต่อสำหรับพูดคุยกับเตียบไกด์ท้องถิ่นที่ชำนาญจังหวัด Ha Giang , Cao Bang และพื้นที่อื่นๆทางเหนือ เตียบเป็นไกด์และเพื่อนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว เค้าแวะจอดถ่ายรูปรวมทั้งค้นหาสถานที่ใหม่ๆไปกับเรา ไปเที่ยวกับเตียบแล้วเหมือนมีเพื่อนเที่ยวที่สนุกไปด้วยกันมากๆ ถ้าใครไม่ชำนาญการขี่มอเตอร์ไซค์ก็ซ้อนท้ายเค้าไปทุกที่ได้ หรือจะเช่าขี่ตามไปช้าๆแบบไม่รีบเหมือนพวกเราก็ได้อีกเช่นกัน เรื่องความปลอดภัยและสบายใจได้ในพื้นที่แถวนี้เรียกได้ว่าทิ้งตัวได้เลย ผู้คนน่ารักและทำให้เราชื่นใจอุ่นใจได้ตลอดทุกครั้งที่ได้มา
อย่างทัวร์ครั้งนี้เราเริ่มเดินทางจากฮานอยมาฮาซางแล้วค้างหนึ่งคืน อีกวันค่อยเริ่มเดินทางสามวันสองคืน วันที่กลับมาวันสุดท้ายเราก็เดินทางไปเมืองอื่นต่อได้เลยทันที นอกจากทัวร์มอเตอร์ไซค์แล้วถ้าใครอยากเดินทางด้วยรถเตียบก็สามารถจัดหาให้ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างควรเริ่มที่ ฮาซาง เป็นเบสที่เตียบอยู่ การเดินทางจากฮานอยหรือเมืองใหญ่อื่นๆมาฮาซางสะดวกมากมีทั้งรถนอนหรือรถตู้หรูหราหมาเห่า(มันสบายจริงๆจนเราติดใจมาก)มาทั้งกลางวันและกลางคืน ที่พักส่วนใหญ่สามารถจัดจองรถให้เราได้อย่างง่ายดายถ้าใครอยากมาสามารถสอบถามกับเราก่อนได้ยินดีให้ข้อมูลในเบื้องต้นก่อนที่จะพูดคุยกับเตียบ หรือจะอ่านในเวปไซต์ของเราสำหรับการเที่ยวในครั้งก่อนๆของจังหวัด ฮาซาง ก็ได้ ซึ่งเราจะทิ้งเบอร์โทรศัพท์ของน้องไว้ด้านล่างเผื่อใครตัดสินใจอยากมาเที่ยวพูดคุยผ่าน WhatsApp +84086992933