REMINDING ME: Dong Van ,Ha Giang Vietnam
ตอนที่ 4 เที่ยวเวียดนามเหนือ 14 วัน
ดงวัน Dong Vang เป็นเมืองหลักที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะปักหมุดเพื่อมาเยือนในจังหวัดฮาซาง ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆกลางหุบเขาแต่มีทุกอย่างครบครัน ตลาดนัดที่แสนจะคึกคักในวันอาทิตย์เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรพลาด อีกทั้งภายในรัศมี 30 กิโลเมตรยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมาย จึงทำให้หลายคนอยู่พักที่นี่หลายคืนต่างจากอำเภออื่นๆของจังหวัดฮาซาง
จำได้ว่าเมื่อสองปีก่อนเรายืนดราม่าน้ำตาซึมอยู่บนป้อมโบราณตรงยอดเขา ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ต้องเดินทางกลับ เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้องหวั่นไหว ทั้งๆที่ภาพข้างหน้าเป็นแค่ทุ่งนาแห้งๆดำๆในหน้าหนาวเท่านั้นเอง ในใจแอบคิดหรือจะเป็นความหวาดกลัวในความคดเคี้ยวของเส้นทางที่กลับฮานอยตามประสาคนเมารถง่าย หรือจะตื้นตันหลังจากเคลียร์หนี้บัตรเครดิตที่คาราคาซังมานานหลายปีได้สำเร็จก่อนออกเดินทางมา อันนี้เราเองก็ยังบอกกับตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไร
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราเห็นภาพที่ได้กระตุ้นความอยากสร้างความคิดถึง ทั้งจาก facebook ของเตี่ยบไกด์ท้องถิ่น หรือจากกลุ่นคนรักฮาซางที่คอยลงรูปกันอยู่ คราวนี้เราเลยวางแผนอยู่ที่นี่ถึง 5 คืน เพื่อจะได้ใช้เวลาทำในสิ่งที่รู้สึกค้างคาใจจากครั้งก่อนได้อย่างเต็มที่ และด้วยงบประมาณที่จำกัดในทริปนี้ เราจึงตัดสถานที่ที่เราเคยไปมาเมื่อครั้งที่แล้วไม่ว่าจะเป็น Lung Cu หอคอยเสาธงจุดเหนือสุดเวียดนาม, พระราชวังฝิ่น กษัตริย์ม้ง Vuong Chinh Duc แต่เราเชื่อว่า ดงวัน ยังมีอะไรให้เราสำรวจอีกมากมายโดยไม่ทำร้ายเงินในกระเป๋าจนเกินไป
การเดินทางจาก แหม่ววั่ก – ดงวัน
เราพยายามสอบถามเรื่องรถโดยสารที่จะไปยัง ดงวัน แต่ด้วยตารางรถที่มีเพียงวันละครั้งในตอนเย็น จึงทำให้เราต้องหาวิธีอื่นในการเดินทางแทน ในตอนเช้าวันอาทิตย์เราลองให้เจ้าของ Meo Vac Clay House หามอเตอร์ไซค์รับจ้างให้ ซึ่งราคาจะอยู่ที่ 150,000 vnd แต่กลับไม่มีใครว่าง เราจึงจำใจต้องเหมารถยนต์ในราคา 500,000 vnd เพื่อมาให้ทันก่อนตลาดวายที่ ดงวัน
ถึงแม้จะรีบแต่ก็อดใจไม่ได้ที่จะให้คนขับช่วยจอดรถเพื่อดูวิวตรง ม๊าปิเหล่ง Ma Pi Leng เราอยู่ตรงนั้นเพียงชั่วครู่แล้วรีบไปต่อในทันที คนขับดูแปลกใจเหมือนตนทำอะไรผิด จนเราต้องใช้ล่าม Google บอกว่าเดี๋ยวเราก็มาอีกแค่อยากรีบไปให้ทันตลาดมากกว่า
เมื่อมาถึง Ethnic House Lounge Bar & Hostel เราก็ทักทายน้องเตี่ยบไกด์ท้องถิ่นที่ทำงานอยู่ที่นั่น ต่างแปลกใจในรูปร่างที่ผอมบางของกันและกันกว่าความทรงจำเมื่อปีก่อน เราร้องทักถึงรอยสักใหม่ที่แขน ซึ่งจริงๆเตี่ยบมีมันมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่เสื้อผ้าในหน้าหนาวคราวนั้น มันทำให้เราไม่สามารถเห็นความแท้จริงในเสื้อนวมที่บวมฟูได้ หลังจากถามไถ่ถึงสารทุกข์สุขดิบ เราก็วางกระเป๋าแล้วขอตัวไปเดินตลาดต่อทันที
( Ethnic House Lounge Bar & Hostel ไม่ได้เป็นตัวเลือกเราในครั้งแรกที่ตัดสินใจพัก เพราะในทริปนี้อยากจะนอนที่โฮมสเตย์ของทุกๆเมืองยกเว้นในฮานอย และส่วนตัวก็ไม่ได้ชอบนอนห้องรวมสักเท่าไหร่ แต่พอมาเห็นเตียงนอนสองชั้นที่อยู่ติดระเบียง มีวิวทุ่งนาของ ดงวัน อยู่เบื้องหน้า เรากลับตอบตกลงไปอย่างง่ายดาย แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ หัวเตียงมีตู้ใหญ่ที่เรายัดทุกอย่างลงไปได้ ไม่ต้องไปรื้อของเข้าๆออกๆที่ล็อคเกอร์ด้านหน้าแบบที่อื่น เรากลัวคนจะรำคาญเราเท่าๆกับที่เรากลัวคนอื่น ปลั๊กไฟก็อยู่ในตำแหน่งที่เสียบหยิบง่าย ไม่ต้องเอาสายต่อมาระโยงให้ยุ่งยาก เมื่อรูดม่านที่เตียงปิดเราก็หลับสนิทแบบเป็นส่วนตัวได้ทันที )
สถานที่เที่ยวเมือง ดงวัน
ตลาดนัดอาทิตย์ ดงวัน Dong Van Market
สัปดาห์ละครั้งชาวบ้านในท้องถิ่นจากภูเขา ทั้งชนเผ่าม้ง, ไต, ไทนุงและฮัว จะมารวมตัวกันเพื่อซื้อหรือจำหน่ายสินค้า ตลาดแห่งนี้จึงนับได้ว่าเป็นที่สุดแห่งภูมิภาค ถึงแม้เราจะมาสายไปหน่อย ผู้คนเริ่มบางตากว่าตอนเช้า แต่ความคึกคักและสีสันของที่นี่ก็ยังคงบาดตาบาดใจให้กับผู้มาเยือนได้เสมอ ที่ตรงท้ายตลาดจะเป็นที่สังสรรค์ของเหล่าชายหนุ่มที่มาพบปะเพื่อนฝูงต่างหมู่บ้านที่นานๆจะเจอกันที ตอนที่เรามาถึงหลายคนเริ่มมีอาการเมาเอามากๆแล้ว
Sky Path – Ma Pi Leng ทางเดินเพื่อชม ม๊าปิเหล่ง ในมุมสูง
จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นสันหลังมังกร
เรา,เตี่ยบและเฉียน(พนักงานที่ Ethnic house ที่อยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยอีกคน) ออกเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์จากที่พักกันตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ เพียงไม่นานเราก็มาถึงจุดที่ต้องเดินเท้ากันต่อตอนสว่าง มือทั้งสองข้างต้องใช้เหนี่ยวจับรวมทั้งโหนตัวขึ้นไปตามก้อนหิน ทางไม่ได้ยากแต่ก็ไม่ง่ายนักสำหรับคนที่กลัวความสูง ถ้าไม่ได้ไกด์ท้องถิ่นคนนี้ เราคงไม่กล้าหาญปีนไต่ขึ้นมาเองคนเดียวแน่ๆ บนสันเขาที่เหมือนหลังมังกรนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Sky path พื้นที่แถวนี้ได้ขึ้นทะเบียน UNESCO GEOPARK เมื่อมองดูจะรู้สึกได้ว่าภูเขาหรือก้อนหินจะมีความสวยงามและแปลกประหลาดพิเศษกว่าที่อื่นๆ บางทีแค่เลี้ยวผ่านเขาบางลูกทิวทัศน์บรรยากาศก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากความเขียวของต้นไม้ใบหญ้ากลายเป็นหินแหลมๆสีดำที่ดูแห้งแล้ง มันดูมหัศจรรย์ทางสายตาที่ดีต่อใจคนรักภูเขาจริงๆ
เมื่อมาถึงยอดแรกต้องยอมรับว่าขาสั่น และวิงเวียนเมื่อไต่อยู่ใกล้ผาสูง ทั้งสองคนชวนเราให้ปีนต่อจนถึงอีกปลายยอดเขา แต่เราดูทรงคงจะเป็นภาระและประกันการเดินทางในครั้งนี้คงได้เบิกใช้เป็นแน่แท้ เลยขอไต่เดินเล่นแก่ๆแค่บนสันหลังมังกร ปล่อยให้เด็กๆปีนกันไปต่อจนถึงปลายหนวดกัน
(หลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้น เรากลับที่พักเพื่อทานอาหารเช้าแล้วไปล่องเรือในช่วงสาย แต่จะขอเขียนเรื่อง Sky path ต่อเนื่องกันไปในหัวข้อนี้)
Sky Path ทางเดินบนฟ้า
Sky path นับเป็นเส้นทางที่ถูกใจเรามาก ด้วยระยะทาง 2-3 ชั่วโมงในการเดิน นับว่ากำลังดี ถึงแม้ในวันที่เราไปฝนจะตก หมอกลงจัดจนแทบไม่เห็นวิวอะไรก็ตามที แต่ก็มีอย่างอื่นให้ได้ชื่นชม ทดแทนได้อีกมากมาย
ด้วยงบประมาณที่จำกัดในทริปนี้ เราคำนวณค่าใช้จ่ายด้วยความระมัดระวัง และถึงแม้จุดเริ่มเดินของเส้นทางจะห่างจากตัวเมือง ดงวัน Dong Van เพียงแค่ 20 กม. แต่ด้วยความที่รถประจำทางออกจากเมืองตอนตีห้าครึ่ง และรถเที่ยวกลับมีอีกทีตอนเกือบห้าโมงเย็น เราจึงต้องใช้บริการของเตี่ยบ ไกด์ท้องถิ่น ที่ให้ไปส่ง-หรือรับตามจุดนัดหมายต่างๆ ซึ่งช่วยทำให้การเที่ยวในครั้งนี้ประหยัดไปได้เยอะจริงๆ ในครั้งนี้เราให้น้องเค้าไปส่งเราอย่างเดียว ขากลับเราจะมาดักขึ้นรถเที่ยวห้าโมงเย็นเพื่อเข้าเมือง
เมื่อคืนมีฝนตกตลอด มันจะทำให้มีเมฆหมอกในตอนเช้า เรารอเวลาจนถึงสิบโมงกว่าเพื่อหวังให้หมอกหนานั้นจางลง เมื่อเตี่ยบขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งที่อนุสาวรีย์เยาวชน ฝนก็เริ่มตกลงมาอีกในทันที ถึงแม้ตลอดการเดินฟ้าจะปิด มีหมอกลงหนาจนทำให้มองไม่เห็นภูเขาและแม่น้ำด้านล่างอย่างที่ควรจะเป็น แต่ตลอดระยะเวลาในการเดินที่มีอากาศหนาวเย็น ประกอบกับมีกลิ่นดอกไม้ใบหญ้าที่หอมอ่อนๆโชยมาตลอดทาง มันทำให้เรากลับรู้สึกพิเศษและสดชื่นกับเส้นทางโดยที่ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในวันที่ฟ้าปิดเลยสักนิดเดียว
อ่านติดตามตอนอื่นๆของทริปนี้ได้ตามลิ้งค์ด้านล่างครับ
ตอนที่ 1 เที่ยวเวียดนามเหนือ 14 วัน – ทะเลสาบบาเบ๋ Ba Be Lake ความโกรธแค้นของมังกร
ตอนที่ 2 เที่ยวเวียดนามเหนือ 14 วัน – น้ำตกบั่นซก Ban Gioc อลังการน้ำตกกั้นพรมแดน
ตอนที่ 3 เที่ยวเวียดนามเหนือ 14 วัน – แหม่ววั่ก Meo Vac เมืองเล็กๆในหุบเขา