REMINDING ME: Mt. Ararat,Dogubayazit,Kars, Turkey
ภูเขาอารารัต ในเมือง Dogubayazit การเดินทางครั้งนี้ในตุรกีนั้น มันเกิดขึ้นด้วยความไม่ได้ตั้งใจแต่โชคชะตามันพามา พามาไกลจนขอบประเทศเกือบถึงอิหร่าน ความตั้งใจแรกต้องการจะเดินทางไปเมืองที่มีทะเลสาบอันสวยงามที่เมือง Van แต่เนื่องด้วยก่อนการเดินทางได้ไม่นานทางสายการบินได้โทรศัพท์มาบอกยกเลิกเที่ยวบินไปเมืองนี้และจะหาที่ใหม่ให้ไปลงใกล้ๆเค้าบอกสาเหตุว่าสนามบินปิดทำการ แต่เราไปอ่านเจอว่ามีการวางระเบิดในตลาดมีคนตายหลายคน ไม่รู้เกี่ยวข้องกันหรือเปล่า เลยหาข้อมูลใหม่ว่าจะไปที่ไหนแทนดี ก็มาพบรักกับภาพ ภูเขาอารารัต การเดินทางนั้นไม่ยากครับ นั่งเครื่องจาก Istanbul มาลง Ankara แล้วต่อเครื่องมายังเมือง Kars แล้วก็นั่งรถบัสมาเมือง Igdir แล้วนั่งรถตู้มาลงที่เมือง Dogubayazit !!! แต่เหนื่อยจริงๆ
ถ้าใครที่ชื่นชอบปราสาทเก่าเมืองโบราณก็สามารถแวะเที่ยวที่ Ani ใกล้ๆเมือง Karsในเขตประเทศสาธารณรัฐอาร์เมเนียก่อนได้ เป็นโบราณสถานแบบArmenien ที่เลื่องชื่อ แต่เราไม่ได้ไปครับเพราะไม่มีเงิน ถ้าใครจะไปต้องเหมารถไปเอง ซึ่งก็พยายามหาเพื่อนนักท่องเที่ยวคนอื่นมาหารค่ารถไปด้วยกัน แต่ผมไม่เห็นใครซักคน!! แต่ถ้าจะนั่งรถโดยสารไปเองก็สุดแสนจะประหลาดเพราะมันจะมีแค่วันละหนึ่งเที่ยว คือบ่ายโมงแล้วกลับอีกทีในวันรุ่งขึ้น เราก็เลยได้แต่เดินเล่นขึ้นไปบนป้อมปราสาทเก่าของเมือง
แต่กว่าจะเดินเล่นได้ก็เจอกับเรื่องงงๆหลายเรื่อง อย่างตอนมาถึงสนามบินก็พบว่าไม่มีผู้โดยสารคนไหนเลยที่เป็นนักท่องเที่ยวยกเว้นคุณลุงกับคุณป้าฝรั่งที่เป็นนักโบราณคดี(ดูจาการแต่งตัวที่เหมือนมาจากหนังเรื่องIndianajone) ไปถามแกดูว่าจะนั่งรถเข้าเมืองไปด้วยกันไหม แต่แกบอกว่าเดี๋ยวมีคนมารับ ส่วนรถแท็กซี่ของสายการบินก็ดันเสียไม่สามารถให้บริการได้เลยต้องนั่งแท็กซี่ธรรมดาที่ไม่ธรรมดาไปแทน พอขึ้นรถคุณพี่คนขับก็โยนกระเป๋าเราขึ้นรถ แถมเวลาตกลงราคาก็พูดอะไรไม่รู้ ฟังแทบจับใจความไม่ได้เลย แต่เราเห็นว่าระยะทางมันแค่ 6 กม.ไม่น่าจะแพงมากมายอะไร พอขับมาออกมานอกสนามบินคนขับก็บอกให้เราลงพร้อมโยนกระเป๋าเราออกมานอกรถ ทั้งงงทั้งกลัวแล้วรถอีกคันที่ไม่ใช่แท็กซี่ที่ขับมาจอดแล้วยกกระเป๋าเราเข้ารถ พอขึ้นรถก็บอกน้าแกว่าไปโรงแรม Temel แกก็พล่ามอะไรไม่รู้ ฟังไม่รู้เรื่อง เหมือนในหนังฉิบโป๋งเลย ที่พวกคนขับชอบหันมาพูดทำไม้ทำมือไม่ยอมดูทาง ก็พอจะจับใจความเป็นคำๆที่น้าแกพยายามจะพูดอังกฤษได้ความว่า พรุ่งนี้ไป Ani จะมารับ 60 ดอลล่า เรารีบบอกไม่ว่างจะไปที่อื่น ในหนังสือเค้าบอกแค่ 30-40เอง แกก็ไม่หยุดพล่าม แต่ดันหยุดรถรับใครก็ไม่รู้ข้างทางอีกคนที่แต่งตัวดีเหมือนมาเฟียในหนังเลย เข้ามาเบียดเราข้างหลังพร้อมพยักหน้าให้หนึ่งหยึก งง อย่างงี้ก็ได้เหรอ น้ากับลุงมาเฟียก็ฝอยแตกคุยกันธรรมดาแต่เหมือนคนไทยตีกันมันหยด จนรถมาหยุดที่หน้าแมนชั่นดูดีแห่งหนึ่งคุณลุงมาเฟียก็ลงไปส่งเงินให้คนขับกับพเยิดหน้าให้เราอีกหนึ่งที อีกครู่รถก็กระโดกกระเดกมาถึงโรงแรมก็ต้องตีกับน้าแกเรื่องค่ารถอีก เล่นขูดเลือดขูดเนื้อกันชัดๆ พอเข้าไปในโรงแรมก็ดูเศร้ามากกกก
ก่อนที่จะเดินทางมาเมืองนี้เราก็เที่ยวในเมือง Istanbul กับเพื่อนๆ
Dogubayazit เมืองที่มี ภูเขาอารารัต เป็นจุดหมายที่สำคัญ
เราตั้งใจเดินทางมาตั้งไกลสุดขอบประเทศติดชายแดนอิหร่านด้วยความคาดหวัง แต่ที่นี่กลับดันศิวิไลกว่าที่เราคิดไว้ตั้งเยอะ เราเลือกนอนที่โรงแรมชื่อ Ararat เพราะจะได้มองเห็นภูเขาได้จากห้องพัก แต่ที่ตั้งมันจะติดกับแนวเขตทหาร(แถวนี้ค่ายทหารเยอะมาก) แถมยังเห็นรถถังวิ่งกันบ่อยๆ เราเก็บของแล้วว่าจะเดินไปหาจักรยานเพื่อขี่ไปวัง Ishak Pasa บนเขาแต่ไม่มีร้านไหนให้เช่าเลย ก็มองหารถเช่าอยู่สองสามร้านจึงค่อยเดินไปตามที่อยู่ในนามบัตรที่เด็กน้อยได้ให้ไว้(ตอนที่ลงรถมีเด็กเอานามบัตรมาให้พร้อมเดินมาส่งที่โรงแรม) ปรากฎว่าราคาถูกกว่าที่ที่เคยสอบถามมา แต่ให้ตายเหอะไม่เห็นมีนักท่องเที่ยวคนอื่นเลยซักคนในเมืองนี้ พี่สาวของน้องเด็กเค้าแนะนำว่าจะให้เราแปะป้ายไว้ที่บอร์ด เผื่อมีคนอื่นจะมาร่วมหารค่ารถด้วย แต่เรานอนที่นี่เพียงแค่สองคืนยังไงก็ต้องจองรถเอาไว้ก่อนสำหรับวันรุ่งขึ้น ถ้ามีใครมาก็โชคดีไป ก็ถามเค้าเหมือนกันว่าทำไมไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวเลย คำตอบก็คือเรื่องการก่อการร้ายในประเทศแถบมุสลิมที่รุนแรงขึ้น มีการลักพาตัวเรียกค่าไถ่ด้วย (ก่อนบินมา 1 เดือนก็มีระเบิดใน Istanbul) อย่างถ้าใครจะไปเดินเขาบน Mt Ararat ต้องขออนุญาตคุณตำรวจกับนำไกด์ที่มีปืนขึ้นไปด้วย !!!
วันนี้ตื่นแต่เช้ารีบกินอาหารที่เหมือนกันแทบจะทุกวันนั่นก็คือ ขนมปัง ชีส น้ำผึ้ง มะเขือเทศ มะกอก ไข่ต้มและขี้ฝุ่น แต่ที่นี่ห่วยที่สุดนับตั้งกินมาในตุรกี หลังจากกินเสร็จก็รีบไปที่บริษัททัวร์ในทันที คำถามแรกหลังทักทายก็คือ มีคนจะไปกับเราร่วมกันหารค่ารถกันไหม ไม่มีคือคำตอบ
พระราชวัง Ishak pasa sarayi
พอจะเดินไปเก็บภาพจากมุมสูงที่เห็นจากตามหนังสือ น้าคนขับก็เริ่มบ่นๆ เดาๆเอาเองว่าจะไปไหนของมันขึ้นรถเหอะเสียเวลา น้องไกด์เด็กก็ได้แต่เดินตามเก้ๆกังๆ เราก็ทำเป็นไม่สนใจเดินไปถ่ายรูปอีกนิด สูบบุหรี่อีกตัว แล้วค่อยกลับขึ้นรถ ตาน้าคนขับยังคงปึงปังไม่เลิก
พอขับลงเขาแล้วเลี้ยวไปทาง ภูเขา Ararat
หลังจากนั้นก็ตุเรงๆอ้อมเขาเข้าหมู่บ้านที่สวยมากๆไปจอดรถพักกัน แต่ให้ตายเหอะไม่มีของกินขายเลย เราเริ่มหิวมากแล้ว จะมีแต่พวกของที่ระลึก และก็มีเราเป็นเหยื่อโดนรุมอยู่คนเดียวที่ไม่ได้อุดหนุนอะไรเพราะแพงอยู่พอสมควร ก็เลยเดินเล่นไปรอบๆพร้อมขบวนแห่แม่ค้าที่คอยตามตื้อ
หลังจากลงจากเขาก็ขับไปทางชายแดนอิหร่าน
โดนตรวจรถกับหนังสือเดินทางสองที โดนถามว่ามาทำไมคนเดียวทั้งสองครั้ง แต่พอรู้ว่ามาจากไทยแลนด์ก็พูดแซวถึงมวยไทยกันยกใหญ่พร้อมทำท่าทำทางประกอบหัวเราะเฮฮาในขณะที่มือยังถือปืนอยู่แบบนั้น เราได้แต่ยิ้มแห้งๆกลัวปืนลั่น รถขับผ่านจนถึงชายแดนอิหร่านแล้วเลี้ยวซ้าย มีป้อมทหารถือปืนเป็นระยะน่ากลัวดีแท้ จนรถมาจอดที่หลุมอันนึง ซึ่งน้องเด็กบอกอะไรที่เราไม่สามารถจับใจความได้ น้องเค้าเอาแต่โหนโครงเหล็กเล่นอย่างสนุกสนาน มารู้ทีหลังว่าเป็นหลุมที่เกิดจากพายุหมุนจนเป็นรูขนาดใหญ่ โถ!มาตั้งไกลพามาดูแค่เนี่ย!
รถก็ขับออกมาทางเดิม ขึ้นเขาอีกลูกแต่ไม่สูงเท่าลูกก่อน เพื่อพาไปดูซากเรือโนอาห์ ตามตำนานเมื่อครั้งที่น้ำท่วมโลกได้ลดลง ภูเขาอารารัตนั้นเป็นที่แรกที่โผล่พ้นผิวน้ำ และเรือของโนอาห์ (Noah’s Ark) ก็จอดอยู่ ณ ตำแหน่งนี้ เค้าให้ดูได้ในระยะไกลเท่านั้น ไม่สามารถเดินเข้าไปใกล้ๆได้ แล้วมานั่งจิบชากับคุณตาคนนึงแถวนั้นพร้อมน้องเด็กและน้าคนขับ
หลังจากนั้นรถก็กลับเข้ามาทางเมืองและแวะจอดข้างทางที่รกร้าง มีอาคารที่พรุนไปด้วยลูกกระสุนปืน แต่วิวนั้นสุดยอด เห็นทิวทัศน์ได้แบบพาโนรามา มีสายน้ำที่ไหลมาจากภูเขาไฟ Araratจากการละลายของน้ำแข็งที่ใสแจ๋ว เราได้ล้างฝุ่นออกจากหน้าบ้างก็สดชื่นขึ้น ไปเที่ยวมาทั้งวันชอบมุมนี้ที่สุด เลยเดินเล่นอ้อยอิ่งอยู่นานมาก จนน้าคนขับแกเริ่มบ่นอีก ก็เลยแกล้งเดินหนีไปถ่ายรูปไกลๆทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ซักพักเราก็กลับเข้าเมืองกัน พอถึงออฟฟิศก็เจอสาวน้อยผิวเข้มนักท่องเที่ยวจากJamaica มารออยู่ แม่เจ้าประคุณมาช้าไปวันนึง ต่างคนต่างบ่นเสียดายเพราะเธอก็เป็นโรคตังค์น้อยเหมือนกัน