REMINDING ME: Hsenwi ,Shan state, Myanmar
แสนหวี เมืองเล็กๆทางตอนเหนือของรัฐฉานในประเทศพม่า เราอาจจะเคยได้ยินชื่อนี้ก็จากบทประพันธ์เรื่อง เจ้าหญิงแสนหวี ของพลตรีหลวงวิจิตรวาทการ จนบางครั้งนึกว่าเมืองๆนี้เป็นเพียงสิ่งสมมุติมีแค่ในนิยายเท่านั้น…
มีตำนานเล่าว่า เมื่อก่อนหัวหน้าหมู่บ้านต่างๆจะนำกล้วยมาเป็นเครื่องบรรณาการที่หอหลวง(เหมือนต้นไม้เงินต้นไม้ทอง) เพื่อแสดงความจงรักภักดี แล้วร้อยต่อแขวนเอาไว้จนดูเหมือนมีกล้วยเป็นแสนๆหวี จึงเป็นที่มาของชื่อเมือง
เราเฝ้าถามตัวเองว่าเพียงแค่นี้หรือ…กับเหตุผลที่จะทำให้อยากมาเมือง แสนหวี
ก่อนที่จะเกริ่นเข้าเรื่องต้องขอบอกก่อนว่า ความเบาบางจางๆของแหล่งท่องเที่ยว ที่จะทำให้เกิดความอิ่มเอมนั้นแตกต่างจากเมืองอื่นๆ โดยส่วนตัวจุดหมายไม่ได้ทำให้ใจเราเต้นแรง แต่เรื่องราวในอดีตที่โยงใยกับสยามประเทศนั้น นับเป็นคันเร่งอันสร้างความอยากให้ได้มาเยือนได้เป็นอย่างดี
เศษซากที่แสดงความรุ่งเรืองในอดีตนั้นมีหลงเหลือให้เห็นไม่ได้มาก เนื่องจากที่นี่เคยผ่านศึกสงครามมาหลายครั้ง(โดยเฉพาะสงครามโลกครั้งที่สอง)และเมื่อเผด็จการทหารเข้ามาปกครองและพยายามที่จะสร้างความเป็นหนึ่งเดียวโดยการลดทอนอัตลักษณ์แห่งชาติพันธ์ุ นี่นับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และยาวนานมากที่สุด
แสนหวี เคยเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆตั้งแต่สมัยก่อนพระพุทธกาล มีชื่อเรียกต่างๆว่า เมืองแสง เมืองคำ เมืองเจ๋อู๋ เวียงทองแก มีคนปกครองตั้งแต่ขุนน้อยจนถึงเจ้าฟ้า ที่ถือว่าเป็นปฐมบทไทใหญ่แห่งรัฐฉาน อันเริ่มจากสมัยสิ้นยุคเจ้าเสือข่านฟ้าแห่งอาณาจักรไทมาวที่จีนและพม่าเข้ามาบุกยึดดินแดนจนเกิดการล่มสลาย เจ้าเมืองแสนหวีจึงได้รวบรวมชาวไทใหญ่ในบริเวณนี้ให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้ง จนสามารถขยายพื้นที่ในการปกครองแผ่ไปจนถึงจีนยูนนานและมีความสัมพันธ์อันดีจนเปรียบเป็นเมืองพี่เมืองน้อง เสมือนเป็นประเทศเดียวกันกับอาณาจักรล้านนา(เชียงใหม่) จนเข้าสู่ยุคสมัยอาณานิคม และในช่วงปีค.ศ. 1959 รัชสมัยเจ้าห่มฟ้ากษัตริย์ร์องค์สุดท้าย ก็ได้ทรงสละพระราชสมบัติให้กับรัฐบาลสหพันธรัฐไทใหญ่ได้เข้ามาปกครองแทน
และเมืองนี้ก็มีตำนานความผูกพันธ์กับสยามมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในช่วงที่ต้องต่อสู้กับพม่า เจ้าคำก่ายน้อย (ขุนคำแก้ว)ได้ทรงขอให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราราช ยกทัพมาช่วยศึก แต่ทว่าทรงเสด็จสวรรคตในระหว่างเดินทัพไปเสียก่อน ณ เมืองหาง จังหวัดเมืองโต๋นในปี ค.ศ. 1605 จึงทำให้แสนหวีพ่ายในสงครามครั้งนั้น
สำหรับเรื่องของความรู้สึกนั้นถึงแม้ว่าทางกายภาพของแหล่งท่องเที่ยวที่นี่จะไม่ได้อลังการงานสร้างอะไรมากมาย แต่ความเป็นฉาน ที่เรารู้สึกเหมือนญาติพี่น้อง และประวัติศาสตร์ที่มีความผูกพันกับคนไทย มันสร้างความพิเศษให้กับเมืองอันแสนห่างไกลแห่งนี้ได้ดีทีเดียว
สถานที่เที่ยวแสนหวี
หอเจ้าฟ้าเมืองแสนหวี (หอคำเมือง)
ในสมัยเจ้าขุนส่างต้นฮุง มหาราช (จริงๆท่านเป็นเพียงสามัญชนและสถาปนาตนเป็นเจ้าในเวลาต่อมา หลังจากที่ได้ต่อสู้รบกับพม่าที่มาคอยรุกรานอยู่หลายครั้ง จนชาวไทใหญ่เองเคารพนับถือท่านเป็นอย่างมากจนถึงทุกวันนี้) ในปีค.ศ.ค.ศ.1914 ได้ทรงสร้างหอเจ้าฟ้าเมืองแสนหวี (เหนือ) ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรือง (ซึ่งตอนนั่นแสนหวีได้ถูกแบ่งออกเป็นแสนหวีเหนือกับแสนหวีใต้ตั้งแต่ปีคศ.1888) และทรงต่อสู้กับอังกฤษในช่วงที่พยายามแผ่อิทธิพลหลังจากยึดครองมัณฑะเลย์ได้แล้ว แต่ก็ลงเอยด้วยการที่อังกฤษยอมให้เมืองไทใหญ่ตามที่ต่างๆตกเป็นเพียงเมืองใต้อารักขาอังกฤษ และยังคงระบบเจ้าฟ้าเอาไว้เหมือนเดิม (เหตุการก่อนสนธิสัญญาปางโหลงที่กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆรวมตัวกันกับชนชาติพม่า เพื่อใช้ในการต่อรองเพื่อขออิสระภาพจากการเป็นเมืองขึ้นอังกฤษ) ในเวลาต่อมาทางการพม่าได้ทำทีส่งทหารเข้ายึดครองพื้นที่ต่างๆ ของรัฐฉาน โดยใช้ข้ออ้างเข้ามาปราบปรามทหารก๊กมินตั๋งที่ถอยร่นมาจากจีน ซึ่งเมืองนี้ก็มีชะตากรรมเหมือนเมืองอื่นๆในรัฐฉานหลังยุคนายพลเนวินที่เข้ายึดครอง ทำให้สิ้นสุดการปกครองแบบระบบเจ้าฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ และหลังจากที่ใช้หอคำเมืองแสนหวีเป็นค่ายทหาร ก็ได้ถูกทำลายลงอย่างน่าเสียดาย (ข้าวของที่ยังหลงเหลืออยู่ในสมัยเจ้าฟ้าบางพระองค์ก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่สองถูกจัดแสดงอยู่ที่วัดมหามัยมุนีแสนหวี แต่เราไปถึงเย็นเกินเลยเข้าชมไม่ได้) และที่เสียหายหนักสุดอีกรอบก็คือระเบิดจากฝ่ายอังกฤษในสงครามโลกครั้งที่สองนั่นเอง
สุสานหลวงแสนหวี
สุสานหลวงของเจ้าขุนส่างต้นฮุง และพระศพของเชื้อพระวงศ์ ซึ่งรวมถึงเจ้าห่มฟ้าที่เป็นเจ้าฟ้าองค์สุดท้ายของเมืองแสนหวี คนไทใหญ่จะไม่เผาศพนอกจากพระสงฆ์ บริเวณโดยรอบจะเป็นป่าช้าที่มีหลุมศพอื่นๆอีกมากมาย รถของลุงไม่สามารถไต่ขึ้นมาบนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อได้ เราจึงเดินมาคนเดียว(ลุงแกขาเจ็บถ้าเดินเยอะไม่ไหว) ในส่วนของสุสานหลวงมีรั้วล้อมรอบ กว่าเราจะหาทางเข้าเจอ ก็ต้องเดินวนไปมาอยู่นานเหมือนกัน แต่ทว่าประตูจะมีไม้ไผ่เสียบขวางอยู่ ต้องมุดเข้าไปอย่างทุลักทุเล
ถึงแม้จะมีการถางหญ้าแต่ก็มีวัชพืชแปลกๆที่มีหนามแหลมสามารถทะลุรองเท้าที่เราใส่ไปอยู่ดี ที่นี่ก็ไม่ต่างจากที่อื่นๆที่เคยไปมา คือเหมือนถูกปล่อยทิ้งร้าง บางส่วนเหมือนโดนทุบทำลายรื้อค้น บรรยากาศหงอยเหงาและวังเวงแปลกๆ วัวที่เล็มหญ้าก็ร้องด้วยน้ำเสียงที่โหยหวนและคอยเดินตามเราตลอด เมื่อถ่ายรูปได้สักพักจึงรีบกลับออกไป
วัดกองมูธาตุแสนหวี
บนเนินเขาในเมืองจะมีวัดกองมูธาตุแสนหวี (วัดพระธาตุกองมู) เจดีย์ ที่ครูบาบุญชุ่ม พระชาวไทยที่ได้รับความเคารพนับถือจากชาวไทใหญ่มาก ท่านได้บูรณะปฏิสังขรณ์เจดีย์เก่าแห่งนี้ ซึ่งท่านได้นิมิตว่า มีเทวดามาบอกให้บูรณะเจดีย์เก่าแก่อายุราว ๑ พันปี ถูกทิ้งรกร้างอยู่บริเวณเชิงดอยน้ำตกตาด หลังจากนั้นเหล่าสงฆ์และคณะศิษย์ออกค้นหา จนพบฐานและซากเจดีย์เก่า ตามนิมิต
วัดจองคำ
เป็นวัดเก่าแก่มีอาคารไม้สักหลังใหญ่ เป็นสถานที่เรียนเปรียญธรรม จึงมีพระภิกษุสามเณรอยู่เป็นจำนวนมาก ด้านหลังวัดมีโบราณสถานที่เป็นเจดีย์เก่าแก่ที่มีศิลปะแบบล้านนา สถานที่นี้เล็กกว่าที่เรานึกเอาไว้ แต่ที่นี่ก็ยังมีเศียรพระพุทธรูปหลงเหลืออยู่มาก ถึงแม้จะแตกหักเสียหาย แต่ก็แอบคิดไม่ได้ว่าจะถูกขโมยไปสักวันเป็นแน่แท้
ลุงบอกให้เรารอพระรูปหนึ่งที่จำพรรษาอยู่ที่วัดนี้ที่พูดภาษาไทยได้ แต่เนื่องด้วยท่านติดกิจธุระยังไม่กลับมา ด้วยเวลาที่บ่ายคล้อยจึงเป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่ไม่ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับท่าน เนื่องจากวัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ เมื่อมีพระหรือนักวิชาการชาวไทยที่สนใจเรื่องเหล่านี้ ก็มักจะมาเยี่ยมชมที่นี่กันอยู่เสมอ
12 หอเมือง
สถานที่ที่เราชอบมากอีกที่หนึ่งในแสนหวี นั่นก็คือ 12 หอเมือง ซึ่งเป็นที่สิงสถิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง (คล้ายๆเสาหลักเมือง แต่เป็นไปในเชิงของผีสางนางไม้ ไว้คอยอารักษ์เมือง เราขับรถหลงกับลุงอยู่นานมาก ถามทางชาวบ้านก็หลายหน สุดท้ายลุงบอกให้เราลองเดินเข้าไปในซอยๆนึง ที่ถนนค่อนข้างแย่ ถ้าลุงหาที่จอดดีๆไม่ขวางทางจะเดินตามเข้าไป เราเดินมาถึงสถานที่มีรั้วคล้ายบ้านคนแห่งหนึ่ง จึงเปิดและเดินเข้าไป มันวังเวงชวนขนลุก ตรงกลางจะมีบ้านหลังใหญ่และมีบ้านหลังเล็กๆแยกเป็นหลังๆอีกที ภายในจะมีที่นอนหมอนมุ้ง บ้างมีของเล่น บางหลังมีปืน หลังจากที่เดินขึ้นไปจุดธูปที่บ้านหลังใหญ่ หันไปเจอลุงกำลังเดินเข้ากับคนงานที่กลับเข้ามาหลังจากพักกลางวันกันพอดี ซึ่งแกเคยมาทำงานที่ไทยจึงพอพูดได้บ้าง แกอธิบายว่า ที่นี่เป็นที่ที่ชาวบ้านจะมากราบไหว้บูชา ขอให้พืชผลทางการเกษตรอุดมสมบูรณ์ หรือจะมาบนบานศาลกล่าวเรื่องทางโลกที่พระสงฆ์องค์เจ้าไม่น่าจะไปยุ่งเกี่ยว
วัดกองมูโหเมิง(วัดหัวเมืองเจ้าอู่แสนหวี)
กองมูโหเมิง หรือวัดหัวเมืองเจ้าอู่แสนหวี ห่างจากตัวเมืองมา 7 กม. จะมีต้นไม้เรียกว่า ไม้ก้ำก่อ (ค้ำก่อ) เป็นต้นบุนนาคที่ปลูกคู่กันอยู่ ตามตำนานได้กล่าวว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงปลูกกับเจ้าคำก่ายน้อย และเมื่อใดที่รากไม้พันเกี่ยวเกาะกันเมื่อใด เมื่อนั้นฉานกับสยามจะเป็นใหญ่ปกครองแผ่นดินร่วมกัน ในภายหลังทหารพม่าก็ได้ขุดและตัดรากออกเพื่อไม่ให้สิ่งดังกล่าวเกิดขึ้นจริงได้
อีกตำนานที่น่าสนใจ ข้อมูลจาก Tai Community Online ได้กล่าวไว้อีกเรื่องที่แตกต่างจากตำนานข้างต้นว่า “ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์สองต้นนี้ พระญาณคัมภีร์เมืองเชียงใหม่มาปลูกไว้เมื่อครั้งมาตามหาพระพุทธสิหิงค์และวาดรูปองค์พระให้ชาวบ้านดู มีนายพรานซึ่งได้เห็นรัศมีพวยพุ่งจากในถ้ำ เป็นผู้พบและทูลเจ้าฟ้าให้อาราธนามาไว้ที่หัวเมืองแห่งนี้ แต่แล้วพระพุทธรูปก็หายไปอีกทำให้ “คอขม” (เสียใจ) ยิ่งนัก นับแต่นั้น (พ.ศ.2139) คนก็นับถือพุทธศาสนาสืบมา บริเวณใกล้ต้นก้ำก่อมีกองอิฐกองใหญ่ซึ่งเป็นเจดีย์เก่าที่พระญาณคัมภีร์มาสร้างไว้ และทางเมืองแสนหวีได้สร้างเจดีย์ขึ้นใหม่อีกองค์หนึ่งใกล้กันกับองค์เก่า จองโหเมิงหรือกองมูโหเมิง รวมทั้งต้นก้ำก่อคู่จึงเป็นเสมือนสักขีพยานของความร่วมมือกันระหว่างสองดินแดนสถาปนาพุทธศาสนา ณ เมืองแสนหวี”
REMINDING YOU
การเดินทาง เมืองแสนหวี
การเที่ยวในเมืองแสนหวีในวันนี้ สามารถมาได้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตพิเศษแล้ว แต่ว่าห้ามค้างแรมที่เมืองนี้
เดินทางโดยรถไฟจากเมืองมัณฑะเลย์ – สีป้อ ราคา3950 Kyat รถเที่ยวตีสี่ ใช้เวลา 13 ชั่วโมงให้เลือกที่นั่งฝั่งซ้ายหากอยากเห็นสะพานก๊อกเต๊กตอนที่เลี้ยวอยู่บนสะพาน
เดินทางโดยการเหมารถ ราคา 75 ดอลล่าร์จากเมืองสีป้อ
การมาเที่ยวที่นี่เราได้นำข้อมูลจากรายการทีวี IASEAN ตอน เมืองแสนหวี ครบ 100 ปีเต็ม (ขอขอบพระคุณมาณ ที่นี้ด้วยครับ) เราจับภาพมาเป็นรูปๆของสถานที่ต่างๆเพื่อเป็นลายแทง และคุณลุงคนขับที่เป็นคนไทใหญ่ ลุงสอยปาเตียน จะคอยสอบถามข้อมูลโดยการโชว์รูปต่างๆให้กับคนในพื้นที่ไปตลอดเส้นทาง เนื่องด้วยที่เมืองแสนหวีไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลัก การปักหมุดใน Google Map ก็ยังคงมีความมั่วๆและหลายที่ไม่ได้ปรากฎในแผนที่ จริงๆแล้วสถานที่ต่างๆไม่ได้ทำให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก แต่ความสนุกและความสุขตอนที่ได้ค้นหาและพูดคุยกับคนในพื้นที่ต่างหากที่เราว่าเป็นเหมือนรางวัลของการได้มาเที่ยวที่นี่
View Comments (4)
น่าสนใจมากครับ แต่เดินทางคนเดียวนี้ผมอาจจะต้องทำใจเรื่องบรรยากาศและความวังเวงก่อน ชื่นชมความใจกล้าของคุณมากครับที่บุกเดี่ยวไปที่กู่เจ้าและที่ 12หอเมือง
ตอนเดินเข้าไปก็กล้าๆกลัวๆเหมือนกันครับ ^^!
อ่านนิยายเจ้าเมืองแสนหวี ของธินินัดดาจบ เลยค้นกูเกิลมาเจอเว็บนี้ เท่าที่หาในกูเกิ้ล ไม่ค่อยมีคนมารีวิวเที่ยวเมืองแสนหวีเท่าไหร่ อ่านแล้วสนุกดีค่ะ อยากไปตามรอย ช่วงนี้สนใจเกี่ยวกับเมืองต่างๆในรัฐฉาน เพราะกลับมาดูละครไทยที่สร้างจากนิยายอิงประวัติศาสตร์
ผมไปมาก็ชอบมาก็อยากกลับไปอีก ถ้าไม่ติดเรื่องวีซ่าที่มีแค่ 14 วันก็อยากจะเที่ยวเมืองเล็กๆเมืองอื่นอีก ผู้คนที่นั่นก็น่ารักมากครับ ทำให้ทั้งสนุกและสบายใจมีความสุขลดความกังวลหลายๆเรื่องไปได้เลย ^^