REMINDING ME: Pattani ,Thailand
เที่ยวปัตตานี 3 จังหวัดชายแดนใต้ 8 วัน
เที่ยวปัตตานี ในทริปนี้เป็นจุดหมายสุดท้ายในการเดินทาง เราจำเป็นต้องตัดพัทลุงออกจากแผนที่วางไว้เพราะต้องรีบกลับมาทำงานต่อที่กรุงเทพ เมื่อตอนหาข้อมูลที่นี่ก็เหมาะเจาะกับการหย่อนใจ มีที่ให้นั่งเหม่อๆได้อยู่หลายแห่ง ชายหาดที่ว่างเปล่าระหว่างทางไป แหลมตาชี คือหมุดที่เราปักเอาไว้แล้วค่อยหาที่เที่ยวระหว่างทางโดยการขี่รถมอเตอร์ไซค์
เวลาที่เดินทางท่องเที่ยวเรามักจะมองหาสถานที่ที่เงียบสงบเป็นธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือฟื้นฟูความยินดีภายในจิตใจได้เป็นอย่างดี ความวุ่นวายและความรู้สึกรำคาญเมื่ออยู่ในเมืองใหญ่ มักทำให้จิตใจเกิดความรู้สึกต่ำช้าน่ารังเกียจกับตัวเองได้เสมอ ถึงแม้จะไม่ได้แสดงออกให้ใครเห็นเพราะมีหน้ากากของมารยาทสังคมมาช่วยกลั่นกรอง แต่มันก็กัดกินอะไรบางอย่างภายในเมื่อมันเกิดขึ้นบ่อยๆ จนบางทีรู้สึกเหมือนเครื่องพังต้องการการประคบอย่างเร่งด่วน อิสรภาพที่ได้รับจากการท่องเที่ยวและอยู่กับตัวเองในธรรมชาติถือเป็นยาชั้นดีให้กับคนอย่างเรา บางทีแอบคิดว่าหรือนี่ก็เป็นอีกหนึ่งข้ออ้างเพื่อให้ได้มาเที่ยวก็แค่นั้นเอง
เราดีใจมากเมื่อหาแหล่งเช่ารถมอเตอร์ไซค์ได้ ทำให้การ เที่ยวปัตตานี นั้นประหยัดงบไปได้โข เพราะสองจังหวัดที่ผ่านมาคงอีกนานในการที่จะมีบริการดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัย เราโทรนัดสอบถามรายละเอียดและนัดรับรถในวันรุ่งขึ้น เมื่อกินข้าวกลางวันเสร็จหลังจากที่เก็บกระเป๋าในโรงแรม เราก็ออกเดินสำรวจเมืองปัตตานีโดยทันที อากาศที่ร้อนมากหลังเที่ยงทำให้เราต้องหยุดพักที่ร้านขายขนมและร้านกาแฟอยู่บ่อยครั้ง ข้ออ้างเรื่องหลบแดดไม่ได้ทำให้เราดำน้อยลงแต่ทำให้เราอ้วนขึ้น กาแฟรสอร่อยรวมทั้งไอติมชาชักหรือขนมไทยโบราณ เราล้วนสอยเข้าท้องตลอดทางที่เดินแทบทั้งสิ้น
จากโรงแรมเราใช้ถนนยะรังตัดเข้าถนนอุดมวิถี ซึ่งสภาพจากตึกแถวสมัยใหม่ก็จะค่อยๆดูย้อนเวลาลงไปเรื่อยๆ เมื่อมาถึง ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว อันเป็นแหล่งรวมตึกโบราณที่สวยงามไว้มากที่สุด ถ้าใครที่จะเดินชมเมืองให้มาเริ่มที่จุดนี้ แล้วค่อยเดินไปที่ กือดาจีนอ (ตลาดจีน) แล้วค่อยไปตามถนนปัตตานีภิรมย์ ช่วงที่เราไปอาคารส่วนใหญ่จะปิดเนื่องจากการป้องกันโรคระบาด จึงได้แต่เยี่ยมชมเพียงด้านหน้ากับประตูที่ปิดตายด้วยความเสียดาย เพราะอาคารเมืองเก่าที่มีความเป็นพหุวัฒนธรรมอันได้รับการบูรณะมาเป็นอย่างดี บางที่มีอายุถึงสามร้อยปีสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ภายในก็คงน่าจะสวยดีงามไม่แพ้กัน (ยังดีที่บางสถานที่มีรูปแปะไว้ด้านหน้าให้ได้ดูทดแทน) เราแวะที่ ม.อ.ปัตตานีภิรมย์ จะมีนิทรรศการจัดแสดงของศิลปินท้องถิ่น รวมทั้งรอบๆอาคารด้านข้างก็จะมีผลงานศิลปะที่ผสานกลมกลืนกับสิ่งดั้งเดิมได้อย่างน่ามอง เราเดินเล่นไปตามแม่น้ำก่อนที่จะตัดเข้าเมืองเพื่อไปมัสยิดกลางปัตตานีก่อนที่ฟ้าจะมืด เมื่อเข้าไปด้านใน(รั้ว)บรรยากาศที่สวยงามทำให้เราเหมือนโดนสะกดจิต ท้องฟ้าที่เป็นสีส้มอมชมพูสะท้อนกับหินอ่อนดูละลายเข้าหากันได้อย่างกลมกลืน เสียงละหมาดที่ดังไปทั่วบริเวณก็ทำให้เกิดความสงบใจได้อย่างน่าประหลาด
ช่วงเช้าเรามาที่ร้านปะปิ่น ซึ่งเปิดให้เช่าทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ (0992242666) รวมทั้งแท็กซี่ไปรับ-ส่งสนามบินหาดใหญ่ ซึ่งเราก็ใช้บริการในขากลับ (0831905051 มูฮัมหมัด) เมื่อออกมานอกเมือง ถนนก็เริ่มโล่งขี่รถได้อย่างสบายใจมากขึ้น
ระหว่างทางเราแวะที่สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับมัสยิดกรือเซะ และหวังจะมานั่งเล่นที่สะพานไม้บานา แต่แดดช่วงนี้ก็อาจทำให้เราตายได้โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามมาก จึงทำให้อยู่ตรงนั้นไม่ได้นาน พอใกล้เที่ยงเราขับวนหาที่ล่องเรืออยู่นานหลายแห่งแต่ก็พบกับท่าเรือเปล่า จนมาพบร้านของชุมชนบาราโหมโดยบังเอิญ (Barahom Barzaar ซึ่งจะมาตั้งอยู่ริมถนนมีร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึก) เรายืนดูรูปอาหารที่เป็นเมนูกำลังคิดอยู่ว่าจะสั่งอะไรดี เสียงอุทานของหญิงสาวดังมาจากโต๊ะข้างหลัง “อัลเลาะห์” นางตกใจกับอาหารที่กรูกันเข้ามาจัดวางด้วยพนักงานเสิร์ฟถึงสามคนพร้อมๆกัน มันเยอะมากจริงๆ วางแผ่บานเต็มใบตองบนโต๊ะ เราเลยตัดสินใจชี้เอาแบบนั้นบ้าง กับราคา99บาทที่กินกันจนจุก ทุกเมนูอร่อยทุกอย่างโดยเฉพาะยำผักกูดกับน้ำพริกบูดู
หลังจากนั้นเราขี่รถมาที่ท่าเรือสายรุ้ง ชุมชนท่องเที่ยวบางปู เพื่อติดต่อเรือล่องชมป่าโกงกาง (เราสอบถามจากเจ้าของร้านอาหารเมื่อตอนเที่ยง) เรารออยู่ไม่นานผู้ใหญ่บ้านก็เดินมาพูดคุย เมื่อได้เรือแล้วเราก็ออกเดินทาง ความร้อนในช่วงนี้เริ่มทุเลาลง มีเมฆที่ดูดำครึ้มลอยเข้ามาบังแดดเป็นระยะ เรือลัดเข้าคลองเล็กไปในดงป่าโกงกางที่หนาทึบ นกกาน้ำสีดำกางปีกกว้างทำท่าทางเหมือนขู่เมื่อเรือเข้าไปใกล้ ก่อนเลี้ยวเข้าอุโมงค์โกงกางเราเหลือบไปเห็นนกกระยางที่กำลังสะบัดงูตัวเล็กที่คาบไว้อยู่ในปาก ในใจอยากโชคดีเห็นนากทะเลโผล่มาตัวเป็นๆให้ได้ชื่นชม น้องคนขับเรือใจดีมากดับเครื่องเรือแต่ต้นทางแล้วค่อยๆพายให้เราได้ฟังเสียงของธรรมชาติ พอผ่านอุโมงค์มาเรือจะแล่นไปจอดให้ดูหญ้าทะเล และจะจอดอีกครั้งตรงท่าเรือที่ทำจากไม้ไผ่ ไว้ให้นักท่องเที่ยวมานั่งพักชมวิวปากอ่าวและป่าโกงกางกันแบบสบายๆ บางคนก็ห่อข้าวมานั่งกินกันได้ที่นี่ เราพยายามมองเข้าไปในป่าอยากเห็นตัวนากที่น้องคนขับบอกได้ยินแต่เสียง ขากลับเราจะผ่านจุดที่เคยมีเรือสำเภาโบราณจมอยู่ และพบหลักฐานพวกถ้วยโถโอชามเก่าแก่มากมาย ทุกวันนี้บางคนที่มาเดินเล่นแถวเนินดินในช่วงน้ำลดก็มีโอกาสเจอเศษถ้วยชามดังกล่าวได้อยู่ เมื่อใกล้ถึงฝั่งเราจะได้ยินเสียงนกที่ส่งเสียงดังกันอย่างเจี๊ยวจ๊าว เกาะกลางน้ำเป็นรังของพวกมันในช่วงนี้ ถ้ามาตอนเย็นจะเห็นได้เยอะกว่านี้จนน่าตกใจ จำนวนมันมีมากจนเพียงเวลาแค่ไม่กี่เดือน ก็จะทำให้ต้นไม้บนเกาะนี้เฉาตายไปด้วยขี้กับการเกาะกิ่งของพวกมัน เราได้แต่ยืนชะเง้อมองบนเรือ จนน้องคนขับถามว่า “อยากเข้าไปไหม แต่พี่ต้องช่วยผมตอนออกนะ” เพราะมันเหมือนกับการเอาเรือฝ่าเข้าไปในดงรก ที่เวลาออกต้องช่วยกันดันถ่อถอยหลังเป็นระยะทางไกล แต่เราว่าคงจะไปกวนพวกมันจนเกินไป จึงขอแค่ยืนดูไกลๆบนเรือก็เพียงพอ
อีกความตั้งใจที่อยากทำให้สำเร็จของการมา เที่ยวปัตตานี ในทริปนี้นั่นก็คือ การได้มาเหยียบที่ปลายสุดของแหลมตาชีให้ได้ ครั้งแรกที่เห็นภาพมุมสูงจาก รายการแวรุงไปไหน (วัยรุ่นไปไหน) ซึ่งเป็นยูทูปเบอร์ท้องถิ่น และตอกย้ำความอยากด้วยรายการทัวร์แก่ๆ ของ Viewfinder ยิ่งทำให้จุดหมายนี้พลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด
เราเก็บของที่ห้องพักของรีสอร์ต Forest beach ที่เราจองล่วงหน้า เป็นห้องพักติดริมทะเล (จนวันที่ไปถึงก็รู้สึกว่ามันใกล้ไปไหมเนี่ย) ถึงแม้น้ำจะไม่ใสเหมือนที่เคยดูมา เนื่องจากลมที่พัดแรง แต่ทรายที่ละเอียดกับความสงบที่ไม่เงียบก็ทำให้ตกหลุมรักที่นี่ได้ไม่ยาก ที่ว่าไม่เงียบนี่ก็เพราะเสียงคลื่นที่กระหน่ำซัดแรงจนไม่ทำให้ฝั่งเหงา บ้านที่เราอยู่ก็กระพือ เสียงหวีดหวิวของลมที่แทรกผ่านรูก็บรรเลงกันได้อย่างเร้าใจตามจังหวะของแรงลม
เราเริ่มขี่รถตามทางไปเรื่อยๆเพื่อไปให้ถึงแหลมตาชี แต่ระหว่างทางก็เถลไถลออกนอกเส้นทางเพื่อสำรวจนู่นนี่ไปตามเรื่อง บรรยากาศชนบทท้องทะเลแถวนี้ดูมีชีวิตชีวาดี ทางด้านซ้ายจะเป็นทะเลในที่มีป่าโกงกางและหมู่บ้านต่างๆตั้งอยู่ ด้านขวาเป็นชายหาดที่ทอดตัวยาวเป็นสิบกิโลเมตร ตามทางจะเห็นวัว แกะ แพะเดินกันให้เกลื่อนถนน ช่วงหนึ่งมีฝนโปรยลงมา ตอนนั้นเราอยู่บนถนนเส้นเล็กๆแถวทุ่งหญ้าที่กลับออกมาจากทะเลใน เราแล่นเข้าข้างทางเพื่อหยิบเสื้อกันฝน กลิ่นดินและหญ้าส่งกลิ่นหอมเมื่อโดนน้ำฝนและเมื่อผสมกับกลิ่นทะเลยิ่งทำให้เกิดบรรยากาศที่หอมแปลกๆแต่ชื่นใจมากขึ้นไปอีก เพียงชั่วครู่เมฆฝนก็พัดผ่านไปอย่างรวดเร็วด้วยแรงลม เราขี่รถช้าลงกว่าเดิมเพราะทางลื่นจากดินโคลน พอถึงถนนใหญ่ได้ค่อยโล่งใจ
กว่าจะมาถึงแหลมตาชี ก็เล่นเอาพระอาทิตย์เกือบจะตกดิน เมื่อทำสำเร็จตามความตั้งใจไว้ก็รีบขี่มอเตอร์ไซค์กลับในทันที เพราะเราว่าบรรยากาศสองข้างทางระหว่างมาน่ารื่นรมย์กว่าลมที่ตีหน้าแรงๆตรงปลายแหลมอันหงอยเหงา ถึงแม้ปลายแหลมจะไม่ได้ฟินอย่างที่คิด และน้ำทะเลก็ไม่ได้ใสเหมือนในรายการของคุณภูริ แต่ความดีงามในส่วนอื่นๆที่ประกอบกันก็ทำให้เราชอบที่นี่เอามากๆ
เราเดินเล่นอยู่ริมทะเลหน้าที่พักจนเกือบมืด ลมที่พัดแรงจนบางครั้งรู้สึกว่าอากาศหนาวจนทำให้ขนลุก เราขี่รถไปหาข้าวกินที่ร้านอาหารของคนท้องถิ่น บรรยากาศที่เรียบง่ายและใจดีของคนขายทำให้มื้อนี้อร่อยมากขึ้นด้วยความอิ่มใจ เรากลับมาที่พักในตอนฟ้ามืด ตอนแรกกะจะเปิดประตูหน้าต่างแล้วใช้ลมทะเลและเสียงคลื่นขับกล่อมให้เรานอนหลับฝันดี มันคงกลายเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเอามากๆถ้าเราทำจริง ทรายที่ปลิวว่อนเข้ามาในห้องและเสียงคลื่นที่ดังเหมือนลำโพงรถแห่มันยิ่งทำให้ห่างไกลความโรแมนติกที่วาดฝันไว้อยู่ไกลโข
เราตื่นนอนเพราะแมวที่เอาเข้ามานอนด้วยมาปลุกตั้งแต่เช้ามืด เรานอนอยู่บนฟูกที่ปูกับพื้นพลิกตัวเอื้อมมือไปเปิดประตูเพื่อจะสูดอากาศบริสุทธิ์ของทะเล ลมที่แรงจัดพัดทรายเข้าตีหน้าทำให้ตาสว่าง ลุกขึ้นกระวีกระวาดปิดประตูกลับแทบไม่ทัน เราออกไปเดินเล่นบนหาดทรายจนพระอาทิตย์ขึ้นสูง พอตอนสายๆเราก็เก็บของเพื่อเดินทางกลับ ระหว่างทางกะจะแวะเที่ยวที่วังยะหริ่ง แต่ป้ายกับประตูที่ปิดตายบ่งบอกว่าปิดบริการด้วยเหตุผลเรื่องโรคระบาดเหมือนเช่นเคย เราจึงกลับถึงตัวเมืองปัตตานีเร็วกว่าแผนที่วางไว้
ช่วงบ่ายเราไปที่สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ที่มีทางเดินยาวบนป่าโกงกาง ด้านบนมองเห็นวิวมองได้ไปไกลถึงแหลมตาชี เราไม่ได้ประทับใจอะไรมากกับที่นี่เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ไปเห็นเมื่อวาน จึงตัดสินใจไปเดินเล่นในเมืองพร้อมกับหาอะไรกินที่ร้านเดิมๆซ้ำรอยจากเมื่อคราวก่อน ONYX Café & Studio เป็นอีกร้านที่เราชอบ หรือร้านโกดังโกปี ที่จัดร้านแบบย้อนยุคก็น่ารักดี วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะเที่ยวที่นี่เลยได้แต่เดินอ้อยอิ่งในบริเวณที่เราชอบ บรรยากาศที่น่ารักของแถวนี้ทำให้เรารู้สึกว่าปัตตานีเป็นเมืองที่น่าอยู่ แต่พอได้สอบถามถึงราคาค่าบ้านแถวริมน้ำจากพี่มูฮัมหมัดที่ขับไปส่งเราที่สนามบิน ก็มีอันให้ต้องพับเก็บแผนชีวิตหลังเกษียณ ณ ปัตตานี ซ่อนเอาไว้แบบอายๆ เพราะราคาของอสังหาริมทรัพย์ของที่นี่ไม่ได้แตกต่างจากกรุงเทพในเขตเมืองชั้นในเลย
ถึงแม้ในทริปนี้จะเที่ยวได้ไม่ทั่วถึงทั้งสามจังหวัดแบบเจาะลึก ยังมีที่ที่อยากไปอีกหลายแห่ง แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกร้อนเนื้อร้อนใจอะไรมาก เพราะคิดว่าไม่ช้าไม่นานคงได้มีโอกาสกลับมาเที่ยวสามจังหวัดชายแดนใต้อีกอย่างแน่นอน