REMINDING ME: Vienna, Austria
เวียนนา แพงจนเวียนหัว
รีวิวเที่ยวเวียนนาด้วยตนเอง ในทริปนี้ ก่อนอื่นต้องขอบอกไว้ก่อนว่ารูปกับบทความนี้เคยเขียนเอาไว้เมื่อนานมาแล้วในBlogอันเก่า ด้วยเหตุบังเอิญได้ไปเจอรูปบางส่วนในฮาร์ดดิสลูกนึงอันนึง (รูปส่วนใหญ่หายไปกับฮาร์ดดิสที่เสียโดยกู้คืนไม่ได้ T.T) จึงได้นำมารวบรวมลงเอาไว้ที่นี่อีกครั้ง
เวียนนา เวียนนา คำๆนี้มันวนเวียนอยู่ในหัวเมื่อได้รับข่าวจากพี่สาวว่ามีตั๋วชั้นธุรกิจ
1 ใบของสายการบิน Austrian airlines ไปลงเวียนนาในราคาที่ถูกมาก ได้แต่คิดในใจว่าเอาไงดี เมืองนี้ไม่เคยคิดว่าชิวิตนี้จะมีธุระได้ไป ตังค์ก็ไม่มี แต่ถ้าไม่ไปคงเสียดาย โอกาสที่จะได้เดินทางไปยุโรปด้วยชั้นธุรกิจคงมีครั้งนี้ครั้งเดียว พลาดไปก็คงต้องรอถึงชาติหน้า
หลังจากวางแผนล่วงหน้านานเกือบหกเดือน เพื่อรอให้ถึงหน้าร้อนกับเก็บตังค์ ซึ่งจริงๆแล้วตอนแรกในแผนนั้นปักหมุดเอาไว้มากมายหลายประเทศ แต่ด้วยงบประมาณที่สูงจนกลายเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ทำให้จำเป็นต้องตัดฮังการี สโลวาเกีย เยอรมัน โปแลนด์ออกไปให้หมดเหลือไว้แค่เพียงสองประเทศนั่นก็คือ ออสเตรียกับเชค แล้วหดให้เหลือวันที่หายใจ ท่องเที่ยวเวียนนา ให้น้อยที่สุด เนื่องจากทุกสิ่งอย่างแพงเหลือหลาย เราอยู่น้อยจนสถานทูตออสเตรียน้อยใจหาว่าเป็นทางผ่าน เลยให้ไปขอที่เชคก่อน ซึ่งกว่าจะได้มาก็ต้องทำให้เดินทางไปยังสถานฑูตอยู่หลายรอบ (ในตอนนั้นทางสถานฑูตให้เรานำใบจองที่พักทั้งหมดในรูปแบบของ Fax ฉบับจริงจากทางที่พักเท่านั้น เราต้องทั้งโทรและอีเมลไปขอ กว่าจะได้ครบทั้งหมดเล่นเอาแอบท้อแท้ไปเหมือนกัน)
ยังไงก็ขอเริ่มต้นการเดินทาง รีวิวเที่ยวเวียนนาด้วยตนเอง จากสนามบินสุวรรณภูมิเลยก็แล้วกัน พอไปถึงก็เดินมุ่งหน้าต่อคิว(มีอยู่หนึ่งคนกำลังเช็คอิน)ในแถวชั้นธุรกิจ ก็มีเสียงแปร๊นจากน้องเจ้าหน้าที่ในเคาท์เตอร์ชั้นประหยัดตะโกนมาว่า “อีโคโนมี่มาต่อแถวทางนี้เลยค่าาาาาาาาาาา” โหย หัวร้อนเลย งานนางก็ดูยุ่งขิงจะแย่อยู่แล้ว แถวชั้นประหยัดคิวยาวแทบจะออกประตู ดันยังมีเวลามาจับผิดเราอีก ซึ่งเราก็ได้แต่หันไปยิ้มแล้วตอบด้วยท่าทีที่โอ่อ่าว่า “อ๋อผมบิสสิเนสคลาสครับ”
ระหว่างทางเดินไปโรงแรมตอนตีห้ากว่าในหน้าร้อนฟ้าก็สว่างแล้ว
ถึงซะทีสิบสองชั่วโมงในบิสสิเนสคลาส อึดอัดสุดๆ จะกินก็ต้องเลือกเมนูที่มีอยู่ล้านชนิด กาแฟอีกร้อยกว่าแบบ ละลานตาไปหมดเลือกไม่ถูก อ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ ก็เลยดื่มแต่แชมเปญจนเมาแทบคลาน เครื่องมาถึงที่สนามบินตีสี่กว่าๆแต่ฟ้าก็สว่างแล้ว เดินงงๆ ตามตูดคนอื่นมาเรื่อยๆ ก็ได้มานั่งรถบัสเข้าเมือง บอกคนขับว่ามาลงสถานีสายใต้ Sudbahnhof พอลงแล้วเดินต่อไปโรงแรมไม่ไกลมากประมาณสองกิโลเมตร อากาศกำลังหรูหราไม่หนาวไม่ร้อน พอเดินเลี้ยวเข้าถนน Laxenburger ชักรู้สึกถึงความเสื่อมโทรมในย่าน มีลุงเมาๆเดินมาขอบุหรี่และทักทายกันด้วยภาษาเยอรมันแบบแกเข้าใจอยู่ฝ่ายเดียว พอวางกระเป๋าเสร็จก็ออกมาเลยเพราะโรงแรมไม่น่ารื่นรมย์สักนิด รูปในเวปก็เป็นแบบหนังไม่ตรงปกสุดๆ ตึกสีเหลืองมาสตาทที่ในเน็ทดูดี๊ดี แต่ของจริงเหมือนเนยมากาลีนถูกๆขึ้นรา แถมเก็บค่าฝากกระเป๋าอีกหนึ่งยูโร ตอนแรกกะจะนอนหลับที่โซฟารอเพื่อน (เพื่อนมาจากลอนดอนตอนเที่ยง) แต่เปลี่ยนใจออกเดินเล่นเลยดีกว่า
แถว Erzherzog Karl Denkmalในช่วงเช้าตรู่แทบจะไม่มีผู้คนเลยบนท้องถนน
เราเดินมาเรื่อยๆไม่ไกลมากจะมาถึง The Belovdere ที่เคยเป็นวังฤดูร้อนของเจ้าชาย Eugen แต่ตอนนี้กลายเป็น Austrian National Gallery ที่มีงานของ Gustav Klimt อย่างภาพ Kiss อันโด่งดังก็อยู่ที่นี่ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าที่นี่คืออะไร คุ้นๆเหมือนเห็นในหนังเรื่อง Marie Antoinett เห็นรั้วเค้าเปิดแง้มไว้อยู่ มีคนเข้าๆออกๆก็เลยเดินตามเข้าไป ด้านในมีสวนแบบฝรั่งเศส ที่ด้านข้างก็เป็นสวนสาธารณะอันร่มรื่น ดอกไม้บานเต็มไปหมด ก็เลยนั่งเล่นที่เก้าอี้ยาว เห็นคุณป้าคนนึงนั่งหลับ กับเด็กรุ่นๆอีกคนฟังเพลงนอนหลับอยู่ ก็เลยเอาอย่างมั่ง ใช้กระเป๋าหนุนหัวแล้วทำตัวกลมกลืน ผลอยหลับไปเฉยเลย(ยังเมาๆจากแชมเปญบนเครื่องอยู่) ตื่นมาอีกทีเพราะร้อนแดดส่องหน้า ดูเวลาก็ปาไปเก้าโมงครึ่ง นอนไปนานเหมือนกัน ตื่นขึ้นมาก็รีบดูของก่อนเลย อ่อยังอยู่ครบดี เดินมาด้านหลังที่เป็นสวนพร้อมทางราบลงเห็นวิวเมืองเก่าได้อย่างสวยงาม เห็นแล้วก็คิดในใจว่า “นี่ไงยุโรปที่แกอยากมา จะรออะไรอีกละลุยเลยซิ” ก็เดินดุยๆลงเนินเข้าเมืองไปเรื่อยๆ ตึกส่วนใหญ่จะเป็นแบบแข็งๆไม่ได้ประดับประดาลายปูนปั้นสักเท่าไหร่ คนก็ไม่ค่อยเยอะอาจเป็นเพราะเป็นวันอาทิตย์ เราซื้อขนมปังกับนมในร้านสะดวกซื้อมานั่งกินที่น้ำพุแห่งหนึ่ง มีลุงมาขอบุหรี่อีกละ พอเดินมาถึงแถวตัวเมืองชั้นในตึกก็เริ่มสวยขึ้น มีรูปปั้น บัวประดับแบบช่างฝีมือ ดูเวลาแล้วเดินกลับมารอเพื่อนที่โรงแรมดีกว่า(งกมากไม่ยอมซื้อตั๋วรถเพราะอยู่ที่นี่สามวัน ต้องรอให้ถึงเที่ยงก่อนแล้วค่อยซื้อ)
สวน Belvedere กำลังปรับปรุงอยู่ตอนที่เราไป
สฟิงซ์สตรีที่ Belvedere
เวียนนา เป็นเมืองที่รื่นรมย์ มีสเน่ห์ เดินเล่นได้ทั้งวัน ตามสวนสาธารณะในหน้าร้อนจะมีผู้คนมานั่งๆนอนๆกันมากมาย
การเดินทางไปไหนมาไหนในเวียนนาสะดวกสุดๆ
แค่ซื้อตั๋วยรถโดยสารใบเดียวก็สามารถใช้ได้ทั้งรถเมล์ รถไฟใต้ดินและรถรางได้ เราซื้อแบบสามวันร่วมกับเวียนนาการ์ด ที่เป็นโปรโมชั่นใช้เป็นส่วนลดในการเข้าชมสถานที่ต่างๆ ทั้งร้านอาหารและการแสดง คุ้มมาก ตอนแรกเราก็เริ่มใช้รถรางก่อนเลย เห็นแล้วก็ทึ่งสุดๆ จะขึ้นอะไรก็แค่เอาตั๋วไปเสียบปั๊มวันเริ่มใช้ พอหมดอายุบัตรก็เสียบที่เครื่องอีกที ในระหว่างนั้นก็ไม่ต้องโชว์ต้องเสียบอะไรอีก เดินผ่านเข้า ออก ขึ้นลงได้ตามสะดวก ไม่มีคนมาคอยตรวจด้วยว่าซื้อบัตรจริงไหม คนที่นี่เค้ามีเกียรติในความซื่อสัตย์เป็นอย่างมาก ขนาดการขายหนังสือพิมพ์ก็เพียงกองไว้พร้อมกล่องเงินเท่านั้น
รถรางแบบเก่า ที่เห็นในหนัง Before sunrise ^^
รถรางที่นี่น่ารักมาก มีทั้งแบบเก่าและแบบติดเครื่องปรับอากาศแบบใหม่ นั่งชมเมืองรอบๆก็เพลินแล้ว วันนั้นทั้งวันเรากับเพื่อนก็นั่งรถชมเมืองเป็นส่วนใหญ่(ตามรอยในหนัง Before sunrise) จะลงเดินก็แต่ตรงใจกลางเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวกระจุกรวมกันอยู่ แต่ก็เข้าชมด้านในไม่กี่แห่งเพราะเกือบทุกแห่งเก็บเงินค่าเข้าทั้งหมด ก็เลยเลือกที่อยากเข้าไปดูกันจริงๆ (แต่โบสถ์หลายแห่งเข้าฟรีวันอาทิตย์)
ด้านหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะ
ด้านหลังของอนุสาวรีย์ Maria Theresa ที่อยู่ด้านหน้า Museum of Natural History
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ
ถนน Graben เป็นถนนเส้นชอปปิ้งที่เต็มไปด้วยผู้คน มีร้านค้าแบรนด์เนมมากมาย
Deo Filio Redemptor, ถนน Grabenในกรุงเวียนนา
รูปปั้นและน้ำพุที่มีอยู่มากมายในเมืองนี้ และนี่ก็คือ Josefsbrunnen
His Aedibus Adhaeret Concors Populorum Amor อาคารแห่งนี้เราได้ผสานความรักของเหล่ามวลมนุษยชาติไว้ภายใน (ข้อความจารึกบนยอดอาคาร)
โบถส์ Stephansdom ที่จะมีศิลปินแขนงต่างๆมาแสดงกันอย่างมากมายในวันอาทิตย์
Kanzel von Anton Pilgram มหาวิหารเซนต์สตีเฟน งดงามมากจริงๆ
ด้านหน้า Stephansdom ที่เป็นโบถส์ใหญ่บิ๊กบิ้มตั้งเด่นเป็นสง่าเห็นได้จากรอบๆเมือง จะมีนักแสดงแขนงต่างๆออกมาวาดลีลากันอย่างน่าชม เรายืนดูกล้ามท้องพี่ฮิบฮอปเค้าอยู่นาน
แถวนี้มีร้านบรรยากาศดีดีเยอะมาก แต่กินอะไรไม่ได้เลย เกินงบแต่ละมื้อไปถึงห้าเท่า!!! เราจะเก็บเงินไว้จ่ายให้กับขนมหวานที่ได้ดูรูปในหนังสือแล้วก็อดไม่ได้ที่น่าจะต้องโดนซักครั้ง เราเลือกร้านเก่าแแก่ที่เปิดมานับร้อยปีที่ร้าน Cafe Central เข้าไปข้างในหรูฟู่มาก พนักงานใส่ถุงมือขาว ดูขลังค์ไม่เข้ากับเราเป็นที่สุด สั่งกาแฟร้อนใส่ไอติม, Sachertorte เป็นเค้กช็อคโกแล็ตที่กินคู่กับครีม, Esterhazytorte มาร์เบิ้ลเค้กสีขาวสลับชั้นกับอัลมอนด์ และขนมลูกกลมๆคลุกผงไวด์แดง เราเริ่มตักขนมใส่ปาก ต่างคนต่างนิ่งงียบ พอสบตากันก็ได้แต่ถามว่ามันใช่เหรอฟะ รสชาติสะท้านทรวงเป็นที่สุด ทั้งขมทั้งหวานแสบไส้ แข็งๆเป็นร่วนๆเหมือนกินดินไม่มีผิด เลยถามกันเองว่าหรือมันต้องรสแบบนี้สินะถึงจะเรียกว่าอร่อยแบบต้นตำหรับ
ในตอนเช้าอีกวันเราไปเดินสำรวจร้านรวงแถวๆบ้าน ก็ได้พบกับโปสเตอร์ฟรีคอนเสิร์ตของ Timna Brauer เธอเป็นนักร้องยิปซีร้องได้หลายภาษา ได้ฟังครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน มีพี่ที่ออฟฟิศเอามาให้ยืม เค้าซื้อมาจากไต้หวันเมืองไทยไม่มีขายในตอนนั้น ดีใจมากพอบ่ายสามกว่าเรากับเพื่อนรีบมาจองที่(คนน้อยเชียวไม่รู้จะรีบจองทำไม) ซึ่งบริเวณที่เล่นเป็นลานหน้าห้างแห่งหนึ่งอารมณ์ประมาณห้างน้อมจิตรบางกะปิ เธอทั้งร้องทั้งเล่นกีตาร์ได้ประน่าทับใจมาก ก็เลยเหมาซีดีทุกชุดของเธอพร้อมลายเซ็นต์
Timna Brauer กับการแสดงสดที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
ตอนค่ำเริ่มเปิดตำราหาร้านอาหารพื้นเมืองอร่อยแต่ราคาปานกลาง
ได้ชื่อมาร้านนึงอยู่แถวกลางเมืองเลยแต่ลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนเหมือนทางไปซ่องมากเลยหาไม่เจอ (สมัยนั้นGoogle mapยังไม่มี) จนหลงมาในดงงานอะไรซักอย่างก็ไม่รู้ มีคนแต่งชุดพื้นเมืองมาเต้นๆร้องรำทำเพลง มีซุ้มไวด์ด้วย ไม่หาแล้วร้านข้าว นั่งซดไวด์กันจนเมา ขากลับจะเที่ยงคืนอยู่แล้วแต่คนยังครึกครื้นรื่นเริงกันอยู่เต็มไปหมด เลยเดินจะไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานี Karlplatz เวรกรรมเอามากๆมีพวกติดยาสามคนขวางทางเดินอยู่ คนนึงกำลังจิ้มเข็มที่แขน เราเลยไม่อยากไปรบกวนพวกพี่ๆเค้า (จริงๆแล้วก็อ่านคำเตือนว่ากลางคืนให้ระวังที่สถานีนี้ ก็ไม่นึกว่าเค้าจะมาคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวตลอดเวลาเหมือนในไกด์บุ๊คบอกเอาไว้) พวกเราเลยหันหลังกลับขึ้นมารอรถรางกลับบ้านดีกว่า เดินไกลหน่อย หายเมาไปครึ่งเลย!!!
เทศกาลไวด์อะไรสักอย่าง สักที่หนึ่งในเมือง ซึ่งหลงมาเจอโดยบังเอิญ
เสื้อผ้าแบบดั้งเดิมของชาวออสเตรีย
งานที่เห็นแล้วปลื้มปริ่มเป็นส่วนใหญ่จะเป็นงานของ Gustav Klimt ที่เราไม่เคยเห็นในหนังสือมาก่อน รูปจูบอันดูดดื่มก็จัดแสดงอยู่ที่นี่ เห็นแล้วก็รู้สึกว่าก็สวยดีแต่ไมไม่จี๊ดเหมือนอย่างที่เคยคิดเอาไว้ (แต่พอกลับมาบ้านก็รู้สึกว่าโชคดีจังที่ได้เห็นของจริงด้วยตาตัวเอง) ห้องอีกห้องที่เราชอบจะอยู่ส่วนนึงเป็นอาคารขนาดเล็ก (พระราชวังเบลเวเดียร์ล่าง) ที่ภายในจะใช้สีทองทั้งห้อง เหมือนกล่องทิชชู่ยักษ์ตามหลังรถแท็กซี่ของไทยในสมัยนึง ดูหรูหราดี
ภายในพระราชวังเบลเวเดียร์ล่าง เคยเป็นที่ประทับของเจ้าชายยูจีน ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงศิลปะออสเตรีย ตั้งแต่ยุคกลางจนถึงยุคปัจจุบัน
เป็นที่เก็บงาน modern art จะมี
Leopold Museum ที่เก็บงานของศิลปินชาวออสเตรียอย่าง Gustav, Egon Schiele จนถึง Oskar Kokoschka แถมยังมี
Architecture Centre Vienna ที่เกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรมของเวียนนา รวมทั้ง Tobacco Museum ที่รวมเกี่ยวกับเครื่องสูบควันทั้งหลายแหล่เอาไว้ ตอนที่เราไปเค้ามีงานของ Yves Klein มาแสดงอยู่พอดี บางคนอาจจะเคยเห็นที่เค้าชอบเอาคนมาทาสีแล้วปั๊มลงผ้าใบ หรือเอาคนชุบน้ำมันแล้วปั๊มลงแผ่นโลหะแล้วเผาไฟอีกที แต่ภาพที่ทำให้เค้ามีชื่อเสียงที่สุดน่าจะเป็น The International Klein Blue(IKB) ที่เป็นสีน้ำเงินที่เค้าคิดค้นขึ้น ว่าเป็นสีที่ดูมีมิติถึงแม้จะเป็นสีเรียบๆ เราดูวิงเวียนกับรูปของน้าแกอยู่สักครู่ก็มีทีมน้องเด็กเล็กๆกลุ่มนึงมากับคุณครูมานั่งวาดรูปกันใหญ่ เราเลยปลีกมาที่ชั้นใต้ดินที่ห้ามเด็กเข้า !!! งานด้านล่างส่วนใหญ่เป็นงานแรงๆ ศิลปินแรงๆ และงานหลายชิ้นก็ยังเป็นหนังที่ทำการฉายด้วยระบบฟิลม์อยู่ มีทั้งบันทึกการแสดง Art performance ของใครก็ไม่รู้ไม่รู้จัก ที่น้าแกจะกรีดตัวเองทั้งตัวแล้ววิ่งไปตามถนน หรือดื่มน้ำสีฟ้าเข้าไปแล้วก็ทรมารตัวเองต่างๆจนเลือดอาบแล้วฉี่ออกมาเป็นสีฟ้าอีกที แปลกดี เด็กๆน่าจะชอบ ไม่รู้จะห้ามลงมากันทำไม
MUMOK Vienna (museum moderner kunst) ที่กรุงเวียนนา แหล่งรวมผลงานศิลปะสมัยใหม่
Leopold Museum พิพิธภัณฑ์เลโอโปลด์ ที่เก็บงานของศิลปินชาวออสเตรีย
Museumsquartier square ลานกว้างที่ในตอนนั้นมีผลงานนักศึกษามาจัดแสดงอยู่
ต่อมาเราก็นั่งรถรางไปดู Hundertwasserhaus ที่เป็นอพาทเมนท์สีฉูดฉาดบิดๆเบี้ยวๆ ใช้ความโค้งมน ไม่ใช้เส้นตรง กลมกลืนกับธรรมชาติ เปิดเมื่อปี 1986 ที่งานคล้ายงานของ Gaudi แต่เปรี้ยวน้อยกว่าเยอะ แต่ทว่าน่าจะอยู่สบายกว่าในเชิงที่พักอาศัยที่อยู่ได้จริง ^^!
บ้านฮุนเดอร์ทวาสเซอร์ ที่ออกแบบโดย Friedensreich Hundertwasser ที่นำความเป็นธรรมชาติในเชิงศิลปะมาผสมผสานสร้างผลงานทางสถาปัตยกรรม
ก่อนอาหารเย็นเราเดินมาที่ใจกลางเมืองกันอีกครั้ง คราวนี้เห็นตั๋วคอนเสิร์ต Wiener Mozart Orchester มาเร่ขายในราคาที่ถูกเหลือเชื่อเพราะกำลังจะเล่นในคืนนี้แล้ว แต่ในขณะที่ตั๋วยังขายไม่หมด แถมจะได้สิทธิในการเลื่อนที่นั่งในตำแหน่งที่ดีกว่าเดิมก่อนการแสดงจะเริ่มอีก ก็เลยซื้อกัน จริงๆแล้วการแสดงดนตรีแบบนี้เค้าก็มีไว้ให้พวกนักท่องเที่ยวเท่านั้น พวกที่เป็นเวียนเนอร์ตัวจริงเค้าก็ เบื่อกับการแสดงแบบนี้กันหมดแล้ว ถ้าเป็นงานเจ๋งๆจริงๆต้องจองบัตรล่วงหน้ากันหลายเดือน ตอนเราเข้าไปก็ได้เลื่อนตั๋วจากชั้นสองแถวหลังสุดมาเป็นหน้าสุดๆๆ จนจะแลบลิ้นถึงนักดนตรีอยู่แล้ว พอดนตรีเล่นไปสักพักก็รู้สึกว่าทำไมเสียงมันเบาๆ ไม่เร้าใจเหมือนตอนที่ฟังจากเครื่องเสียงหรือดูในโรงหนัง นี่ก็คงเป็นอีกหนึ่งอย่างที่เราชินกับระบบจัดการแบบเสร็จสรรพทั้งระบบภาพเสียงอันกระหึ่มหิ้มฮั่มเกินจริง จนไม่สามารถรับอรรถรสแบบธรรมชาติอันนุ่มนวลในระบบอะคลูติกได้อีกต่อไป
อีกวันพวกเราก็นั่งรถไฟไปเมือง Linz เพื่อต่อรถตู้ไปเมือง Cesky Krumlov ในเชคทันที ใครที่อยากไปเช็คจากเวียนนา ขอแนะนำให้ไปเส้นนี้เลยสะดวกมาก สองข้างทางระหว่างเมืองก็น่ารักสุดๆ
แต่ตรงนี้ขอข้ามไปก่อน ตัดกลับมาตอนที่เราต้องนั่งรถไฟจากปราคมาเวียนนาเพื่อต่อเครื่องกลับบ้านก็แล้วกัน ช่วงนี้ต้องลุยเดี่ยวเพื่อนแยกกลับลอนดอนไปแล้ว ตอนมาถึงก็ตามเก็บที่ที่อยากดูอยู่อย่างโรงเรียนสเปนสอนขี่ม้าที่บิ๊กเบิ้มอลังการมาก รวมทั้งสวนดอกไม้ที่ตอนนี้มีกระจายอยู่ทั่วเมือง แต่ที่น่าชมที่สุดก็คงเป็นสวนกุหลาบที่รวบรวมไว้แทบจะทุกสายพันธ์ แค่เดินเข้าไปก็หอมชื่นใจแล้ว
Volksgarten Vienna ที่มีสวนกุหลาบหลากหลายสายพันธุ์
พอตกเย็นเซ็งจัดเลยไปหยิบแผนที่ไกด์สายดาร์ค รีวิวเที่ยวเวียนนาด้วยตนเอง ตามสถานีรถไฟมาดู มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจมากสมกับเป็นประเทศเกิดของคุณลุงผู้กำกับ Michael Haneke ที่ทำเรื่อง The Piano Teacher เราก็จิ้มเลือกชื่อภาษาเยอรมันที่แปลได้ว่า เขาวงกต ที่นี่มีการแบ่งวันด้วยว่าวันไหนเป็นธีมอะไร และต้องแต่งตัวอย่างไร เช่นชุดหนัง หรือแก้ผ้าหมด หรือเป็นวันสำหรับผู้ชายเท่านั้น หรืออีกวันเป็นวันของพวกได้ทั้งชายทั้งหญิง แต่วันนี้ที่เราจะไปเป็นวันดีสำหรับกะเทย!!
เดินมาถึงอยู่ข้างหน้าได้ซักพักก็นอยด์ขึ้นมาไม่กล้าเข้า สูบบุหรี่ย้อมใจอยู่หลายตัว ไปถึงก็ต้องกดกริ่งตรงประตูก่อน สักครู่ล๊อคถึงเปิด ด้านหน้ามีผู้หญิงสูงวัย หัวดัดฟูแต่งตัวจัดแต่น้อยชิ้นพร้อมการแต่งหน้าที่หนาเตอะ มีหมาพันธ์ุเชาเชานั่งอยู่ข้างๆแต่งตัวเยอะไม่แพ้เจ้านาย เราก็ซื้อตั๋วพร้อมกับทักทายเธอนิดหน่อย เธออวยพรให้โชคดี เสียงล็อคเปิดออก เราจึงเปิดประตูทางเข้าที่ทำเป็นต้นไม้ปลอมยักษ์(เหมือนในหนังPan’s Labyrinth) ตื่นเต้นสุดๆ เมื่อ เข้าไปภายในมีการตกแต่งแบ่งออกเป็นหลายโซน แต่ทั้งหมดจะคุมโทนให้เหมือนเขาวงกตแบบเทพนิยาย จะมีบางโซนที่ทำเป็นที่นั่งดูหนังเป็นเบาะธรรมดามั่ง เป็นรถทั้งคันมั่ง ลงทุนเหมือนกันในใจคิด เดินวนๆเข้าไปจะมีบางช่วงเป็นสะพานมีควันดรายไอซ์อยู่ด้านล่าง เหมือนมาแดนเนรมิตรยังไงยังงั้น ในโซนที่แบ่งเป็นห้องเล็กๆเข้าไปทำอะไรเป็นส่วนตัวได้ แต่ทุกห้องจะมีรูน้อยใหญ่ต่างกัน บางห้องเอาหัวมุดเข้าไปอีกห้องได้ หรือบางรูก็เล็กแค่เอาอย่างว่าแหย่เข้าไปอีกห้อง! เราเดินไม่หยุด กลัวเหมือนกัน เลยไปเอาเบียร์มาขวดดื่มย้อมใจก่อน ก็เข้าในห้องเล็กๆที่ล็อคได้ดูหนังอย่างว่าไปเรื่อยๆ น่าสยดสยองมากกับหนังที่เปิด เป็นฉากกะเทยเสียบชะนี (น่ากลัวไหมละ) สักพักมองไปที่รูข้างทีวี มีลิ้นยื่นเข้ามาพร้อมกระดิกรัวยิก พอออกนอกห้องไปก็จ๊ะเอ๋กับเจ้าของลิ้นที่ออกมาจากห้องข้างๆพอดี เป็นลุงๆแต่งตัวเรียบร้อยเหมือนหนีคุณป้ามาเที่ยว เราก็เดินไปเห็นกรรมกรหนุ่มคนนึงหน้าดีสุด หนุ่มสุดในที่แห่งนี้เดินไปเดินมา ก็เลยเดินตามไป
ไม่รู้จะเอ็กซ์ไปหรือเปล่าที่จะเล่ารายละเอียดทั้งหมด แต่ก็ขอเล่าแบบแปดสิบเปอร์เซ็นต์ก็แล้วกัน กะเทยในนี้น่ากลัวมากแต่งตัวด้วยชุดลูกไม้ถูกๆจากร้านเซ็กซ์ช็อป หุ่นเหมือนนักมวยปล้ำเลย แถมใส่วิกประหลาดๆแบบงานฮาโลวีน เราก็เดินตามหาหนุ่มกรรมกรนายนั้นอีกแต่ไม่รู้หายไปไหน(ที่รู้ว่าเป็นกรรมกรเพราะที่นู่นเค้าจะใส่กันเป็นยูนิฟอร์ม เป็นเอี๊ยมยีนส์กับเสื้อยืดขาว) เห็นคนมามุงๆรวมตัวกันที่ห้องซาดิส ก็เลยตามไปมุงด้วย โอ้แม่เจ้า มีกะเทยนางนึงกำลังร้องส่งเสียงดัง เธอนั่งอยู่บนขาหยั่งแบบที่หมอใช้ตรวจภายใน โดยมีพ่อหนุ่มกรรมกรกำลังใช้แขนทั้งแขนแทงไปในตัวเธอ ย้ำแขนทั้งแขน ไม่ใช่แค่แหย่ๆจิ้มๆ แต่เป็นฉึกๆฉัก ในห้องนี้มีอุปกรณ์หลายอย่าง หากใครเข้ามาครั้งแรกอาจจะไม่รู้ นึกว่าเป็นห้องสำหรับพิธีกรรมอันลึกลับทางการแพทย์เมื่อสมัยแม่มดยังครองเมือง เพราะมีทั้งเทียนไขใหญ่ๆ แส้หนัง โซ่ตรวน รวมทั้งถูงมือพลาสติกถึงข้อศอกแบบที่พวกปศุสัตว์ใช้ผสมพันธุ์วัว สยองอยู่เหมือนกัน กลับบ้านดีกว่า (ถือว่าเป็นความชอบส่วนบุคคลเราไม่ว่ากัน^^)
คืนสุดท้ายที่นี่เหงาอยู่เหมือนกัน เพราะอยู่กับเพื่อนมาตั้งสองอาทิตย์ เราเลือกมื้อค่ำโดยการไปซื้อสลัดกับนมในร้านสะดวกซื้อ ชอบที่นี่มากเลย เพราะเมื่อซื้อของในร้านถ้าจะเอาถุงพลาสติกต้องเสียตังค์เพิ่ม ช่วยลดโลกร้อนได้ดีแท้
รีวิวเที่ยวเวียนนาด้วยตนเอง ดินแดนแหล่งอารยธรรมสุดหรู หากคุณจะแบกเป้มาเที่ยวแบบประหยัดคงต้องคิดกันหนักหน่อยเพราะมันตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สุดๆด้วยเช่นกัน แต่ก็เหอะ หลังจากกลับมาแล้วดูซีรี่ย์โนดาเมะ ถ้ามีโอกาสอีกก็คงอยากกลับไปอีก เพราะจริงๆแล้วชอบเชคมากกว่าแต่เวียนนาก็มีอะไรให้คิดถึง (เขาวงกต หุหุ)
เขียนได้สนุกดี