มรัคอู รัฐยะไข่ เมืองที่หลายคนหลงรักเป็นอันดับหนึ่งในพม่า

REMINDING ME: Mrauk U, Arakan state, Myanmar

มรัคอู รัฐยะไข่ เคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ ก่อนที่จะย้ายไปเมืองซิตตเว จากการต้องการความสะดวกที่ติดชายฝั่งเพื่อให้เป็นเมืองท่าเมื่ออังกฤษเข้ามาปกครอง

ชาวยะไข่เคยมีระบบกษัตริย์ ภาษา ศิลปะวัฒนธรรม เป็นของตนเอง

นับว่าเป็นชนชาติที่มีความสำคัญที่ถูกกลืนรวมเข้ากับประเทศพม่า แต่ความเจ็บแค้นจากการถูกแย่งชิงพระคู่บ้านคู่เมือง พระมหามัยมุนี ในรัชสมัยพระเจ้าปดุงเมื่อ 233 ปีที่ผ่านมา ทุกวันนี้ก็ยังคงความปวดร้าวให้กับคนในพื้นที่อยู่อย่างมาก

ดทุกขันธ์เทียน วัดบนเนินเขาสูง 30 ฟุต ภายในมีรูปปั้นแกะสลักผู้หญิงกำลังบูชาพระพุทธรูปซึ่งประดิษฐานอยู่ตามช่องผนัง ตามตำนานว่า เธอเหล่านี้คือภรรยาของเหล่าขุนนางที่มีทรงผมแตกต่างกันถึง 64 แบบ
รูปสลักที่แต่ละนางแตกต่างกัน
วัดพระแปดหมื่น หรือ ซิตตองพญาสร้างในปี พ.ศ.2078 โดยกษัตริย์ พระเจ้ามินบิน (King Minbin) ภายในวิหารมีการแกะสลักพระพุทธรูป 80,000 องค์  ด้านหลังจะเห็นวัดทุกขันธ์เทียน

มรัคอู นี้เคยอยู่ในเขตที่ต้องขอทำเรื่องเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวแบบพิเศษ

และเข้าออกได้เฉพาะทางเรือเท่านั้น แต่ในทุกวันนี้สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกขึ้นและปลอดภัยมีถนนเข้าถึง แม้จะอยู่ในรัฐที่ยังมีปัญหาความขัดแย้งกับชาวโรฮิงญา แต่ก็เกิดขึ้นอยู่ห่างไกล  

ด้วยการยื่นเรื่องที่ล่าช้าในดินแดนที่มีปัญหาเพื่อให้เป็นมรดกโลก จึงทำให้ภูมิทัศน์ที่นี่ผสมผสานแหล่งโบราณคดีกับการร่วมอยู่ของชาวบ้านปัจจุบัน จนทำให้หลายคนรู้สึกว่าที่นี่มีสิ่งที่ขัดหูขัดตาหลายอย่าง แต่ที่ขัดใจเราจริงๆคือการสร้างถนนใหม่ชิดติดขอบบันไดวัดเก้าหมื่น ที่น่าจะสร้างปัญหาขึ้นได้ในอนาคต

ชาวบ้านมาตากข้าวที่ลานหน้าวัดทุกขันธ์เทียน
เด็กๆจะออกมาเล่นกันที่ลานวัด
แม่ชีที่วัดพระเก้าหมื่น โกตองพญา

โครงสร้างทางสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของอาระคัน(ยะไข่)

ที่ใช้ในการสรรสร้างวัดวาอารามคือการใช้หินทรายมาแกะเป็นก้อนวางซ้อนเรียงกัน ซึ่งแตกต่างจากพุกามที่สร้างด้วยอิฐ และด้วยความที่ต้องการโครงสร้างที่แข็งแรงจึงได้มีการสร้างกำแพงซ้อนกันหลายชั้นเพื่อให้รับน้ำหนักของโครงหลังคาหินได้ จึงทำให้เกิดหลืบซอกทางเดินเหมือนโพลงถ้ำล้อมรอบ

การที่เคยเป็นรัฐอิสระต่อเนื่องยาวนาน จึงทำให้ความเป็นเอกลักษณ์ในทางด้านศิลปกรรมนั้นโดดเด่น ไม่ค่อยถูกกลืนผสมผสานจนแยกแยะแทบไม่ออกเหมือนบางพื้นที่
แต่ในปัจจุบันนับตั้งแต่การเข้ามาถือครองสิทธิของพม่า ก็ได้นำเอารสนิยมส่วนตัวมาผสมผสานในการบูรณะปฏิสังขรณ์ จึงทำให้พระและรูปสลักหินมีร่องรอยของการทาสีลงบนโบราณสถานและวัตถุ กลายเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผู้คนในพื้นที่ควรพึงระวัง โดยเฉพาะการใช้ร่วมสมัยในศาสนสถานที่ดำเนินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

วัดพระเก้าหมื่น โกตองพญา สร้างในปี ค.ศ.2096 โดยกษัตริย์มินไตกา (King Mintaikkha) โอรสของกษัตริย์มินบิน (King Minbin)
ภายในวิหารจะมีส่วนที่เป็นทางเดินและมีพระพุทธรูปเรียงรายไปตลอด
ด้านนอกจะมีองค์เจดีย์เล็กๆรายล้อมอยู่
ภาพแกะสลักนูนต่ำที่ยังเห็นลวดลายดั้งเดิมชัดเจน
องค์พระเจดีย์ที่อยู่ตรงกลางบนเนิน
มรัคอูหมายถึงยักษ์จึงมีรูปสลักแบบนี้ให้เห็นทั่วไป
พระองค์ต้องการสร้างวัดนี้ให้ยิ่งใหญ่กว่าพระบิดา เพราะชื่อว่าช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้าย

การเดินขึ้นเขาเพื่อชมพระอาทิตย์ตกเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องทำเมื่อมาที่มรัคอู ซึ่งจะมีอยู่สองสามที่ที่สามารถขึ้นไปได้ยากง่ายตามถนัด ควันไฟที่ก่อใช้เพื่อทำอาหารตามบ้านเรือนต่างๆนั้นสร้างบรรยากาศให้ที่นี่สวยงามมากยิ่งขึ้น หากจะว่าไปจำนวนของโบราณสถานกับทำเลที่ตั้งที่ไม่ใช่ที่ราบ อันเป็นส่วนที่ส่งผลให้ที่นี่ไม่ตระการตาเท่ากับที่พุกามในแง่ของสิ่งที่มองเห็น แต่ทว่าความรื่นรมย์ทางความรู้สึกในระหว่างทางที่ผู้คนที่นี่มอบให้มันทำให้ที่นี่พิเศษกว่าที่ไหนๆจริงๆ ถึงแม้การสื่อสารด้วยวาจาจะทำได้อย่างยากลำบากในเรื่องของภาษา แต่รอยยิ้มที่ผู้คนมอบให้นั้นมันทำให้ชุ่มชื่นใจและก็เชื่อได้ว่าหลายๆคนตกหลุมรักที่นี่เพราะองค์ประกอบในเรื่องนี้อย่างแน่นอน

เนินอันนี้อยู่สูงสุด เสียค่าเข้าพื้นที่ให้เจ้าของบ้าน จุดสังเกตุทางขึ้นจะมีร้านที่ขายภาพถ่ายโดยฝีมือช่างภาพท้องถิ่น
อย่าปีนป่ายแบบสองคนนี้นะครับ คนที่นี่รู้สึกไม่ชอบที่ขึ้นไปอยู่เหนือพระ และโครงสร้างที่นี่ก็ยังไม่ได้บูรณะอาจพังลงมาได้ ตรงนี้เป็นวัดเล็กๆบนเนินก่อนถึงวัดพระเก้าหมื่น

มรัคอู รัฐยะไข่ นอกจากวัดก็อย่างมีอย่างอื่นที่น่ามหัศจรรย์

มรัคอู รัฐยะไข่ มีหมู่บ้านชาวชินหญิงสักหน้า (หมู่บ้าน Pan Paung)บริเวณชายขอบของรัฐยะไข่ อยู่ห่างจากมรัคอูโดยทางเรือประมาณสองชัวโมงกว่า หญิงชราที่มีอายุไม่ต่ำกว่าหกสิบปีจะมีความเชื่อเรื่องการสักใบหน้าแล้วจะได้ไปสวรรค์ โดยการใช้หนามมะนาว ซึ่งจะเริ่มกันตั้งแต่อายุ 7 ขวบและจะต้องทำให้เสร็จสิ้นเต็มใบหน้าก่อนอายุ 18 ปี การสักจะทำกันในหมู่หญิงสาวโดยที่ผู้ชายไม่สามารถร่วมชมพิธีการได้ แต่เมื่อตอนที่ทางการได้พยายามจัดการปัญหาเรื่องชนกลุ่มน้อยต่างๆ ก็ได้มีการสั่งห้ามเพื่อไม่ให้เกิดความแปลกแยกที่เห็นได้ชัดเจนบนใบหน้าเยี่ยงนี้ และลดทอนความรู้สึกป่าเถื่อนในสายตาของต่างชาติที่จะแสดงถึงความล้าหลังไร้อารยะ 

อีกหนึ่งเรื่องเล่าที่กล่าวถึงการสักหน้านั้นได้บ่งเหตุเจตนาแรกเริ่มเดิมทีได้เกิดจากการที่ต้องการจะสร้างตำหนิบนใบหน้าของหญิงสาวตั้งแต่เยาว์วัย เพื่อให้คนต่างถิ่นนั้นหวาดกลัว  เนื่องจากหญิงสาวชาวชินเป็นที่ขึ้นชื่อในด้านความงดงาม จนใครๆก็อยากที่จะได้เป็นเจ้าของ และต่อมาก็กลายเป็นค่านิยมที่ทำสืบต่อส่งทอดต่อๆกันมา

ท่าเรือที่จะไปหมู่บ้านชาวชิน
บ้านเรือนที่นี่ปลูกสร้างกันอย่างเรียบง่าย

หญิงชราส่วนใหญ่ยินดีที่จะถูกถ่ายภาพด้วยความภาคภูมิใจ ซึ่งส่วนใหญ่จะจำหน่ายผ้าทอมือเนื้อหนากันเกือบทุกบ้าน ซึ่งถ้าหากเราไม่ได้ต้องการที่จะอุดหนุนก็สามารถให้สินน้ำใจเล็กๆน้อยกับเหล่าผู้อาวุโสเหล่านี้ได้ เพราะรายได้หลักของหมู่บ้านก็มาจากการทำไร่นาของคนหนุ่มสาวและจากเหล่านักท่องเที่ยวนี้นี่เอง

ที่หมู่บ้านนี้นิยมสักแค่เต็มใบหน้า แต่ในรัฐชินเองจะสักจนถึงลำคอ
มีการระเบิดหูใช้ไม้ไผ่เสียบเพื่อความสวยงาม
คุณยายท่านนี้น่ารักมาก แกทำให้นึกถึงคุณยายที่เสียไป
เมื่อมีนักท่องเที่ยวมาก็จะออกมาต้อนรับอย่างอบอุ่น

เด็กๆในที่นี้ก็น่ารักสดใสไร้เดียงสามาก เด็กชาวชินจริงๆจะไว้จุกด้านหน้าทั้งหญิงชาย เด็กหญิงส่วนใหญ่จะตัดผมสั้นหรือโกนหัวเพราะตัดปัญหาเรื่องเหา หลายบ้านเราจะเห็นเด็กตัวเล็กๆดูแลเด็กเล็กๆด้วยกันเอง เมื่อพ่อแม่ออกไปทำงานที่ไร่พวกเขาจึงต้องดูแลกันเองได้อย่างน่าประหลาดใจ

หน้าดูแก่นแก้วกันมาก
ดูรูปนี้ทีไรต้องยิ้มทุกที
เด็กนักเรียนส่วนใหญ่จะเรียนรวมกัน แยกเป็นสองห้อง
เด็กๆชอบถ่ายรูปเล่นกันมาก

สำหรับเด็กที่สามารถไปเรียนได้ก็จะมีโรงเรียนของหมู่บ้านที่ค่อนข้างขาดแคลน หากเรามาเยี่ยมชมก็สามารถบริจาคสิ่งของหรือเงินเพื่อให้ครูดูแลเด็กๆเหล่านี้ต่อไปได้

การอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจึงทำให้การกำจัดขยะมูลฝอยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถกระทำได้อย่างเป็นระบบ หากเราจะนำขนม(แม้กระทั่งให้กับเด็กๆ เพราะถึงแม้พวกเค้าจะดีใจ แต่ก็เป็นการสร้างขยะและโรคภัย โดยเฉพาะเรื่องทันตกรรมที่เกิดจากการบริโภคน้ำตาล)หรือสิ่งของที่จะไปสร้างภาระให้กับพื้นที่ก็ควรจะต้องคิดคำนึงกันให้มากๆ ขยะทุกชิ้นที่เรานำไปควรเอากลับมาจัดการที่ฝั่งด้วยตัวเราเอง เพราะถึงแม้เราจะจะทิ้งในถังขยะแต่มันก็จะถูกจัดการด้วยการเผาและจะปลิวกระจัดกระจายอยู่ในที่แห่งนั้นนั่นเอง

ห้องเรียนเด็กโตหน่อย
ใครที่แวะมาที่นี่สามารถบริจาคให้กับทางโรงเรียนโดยตรงได้

 

พระทันตธาตุส่วนที่เป็นกรามของพระพุทธเจ้า ที่วัด Sunda Muhni Phara Gri Kyaung Tak นับเป็นความโชคดีที่ได้มีวาสนาสัการะอย่างใกล้ชิด เนื่องด้วยเจ้าพนักงานกำลังทำความสะอาดอยู่พอดี ซึ่งปกติจะถูกเก็บไว้ในตู้เซฟและจะนำมาให้ประชาชนกราบไหว้บูชาในงานเทศกาลพิเศษเท่านั้น

อะหังวันทามิธาตุโย อะหังวันทามิสัพพะโส

ที่วัดแห่งนี้มีพระพุทธรูปปางแปลกๆที่ไม่ค่อยได้เห็นที่ไหน รวมทั้งพระพุทธรูปมหาซานดามุนี สร้างขึ้นโดยพระเจ้าสุริยาในพศ. 222 ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ได้รับการหล่อจากเศษโลหะที่มีค่าจากการสร้างพระมหามัยมุนี ตำนานเล่าว่าพระพุทธรูปองค์นี้ถูกฝังอยู่ในปูนซีเมนต์ในทศวรรษที่ 1850 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการปล้นสะดมกองกำลังอังกฤษและลืมไปนานกว่าหนึ่งศตวรรษ ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2531 ดวงตาที่เคลือบเอาไว้หลุดออก เผยให้เห็นรูปปั้นโลหะด้านใน

พระพุทธรูปมหาซานดามุนี ที่เคยซ่อนอยู่ในปูน
เศษดวงตาที่เคลือบเอาไว้หลุดออกมา

มรัคอู ไม่ได้ทำให้เราแค่รู้สึกตื่นตาตื่นใจ แต่ถ้าหากจะว่าไป ความน่ารักของผู้คนที่พบเจอไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้คนทั่วไป มันยิ่งทำให้ที่นี่กลับมีเสน่ห์ในแบบที่เมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆไม่สามารถมีให้กับเราได้ ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส ทั้งนี้อันเนื่องมาจากความยากลำบากในการเข้าถึงและข่าวคราวปัญหาที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญา จึงทำให็ความเบาบางของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีเพียง 5000 คนในหนึ่งปีเท่านั้น  

เวลาที่เรามีในครั้งนี้น้อยเกินกว่าที่จะเที่ยวให้ทั่ว แต่ในใจได้แต่คิดว่ายังไงเสียต้องกลับมาที่นี่ให้ได้อีกสักครั้งอย่างแน่นอน เรียกได้คิดถึงตั้งแต่ยังไม่จากมากันเลยทีเดียว

ไกด์มิสเตอร์จอว์ มอที่กำลังติดต่อซื้อปลาระหว่างทาง
บรรยากาศร้านอาหารในเมือง
คุณชัยที่เคยมาทำงานในประเทศไทยพอที่จะพูดภาษาเราได้บ้าง

REMINDING YOU

การเดินทางโดยเครื่องบิน

สามารถเดินทางมาลงที่สนามบิน ซิตตะเว่ (Sittwe) หรือ ซิตตุย ที่ห่างออกไปประมาณ 144 กม. ซึ่งตารางบินทำให้เราไม่สามารถเดินทางต่อไปยังมรัคอูโดยรถโดยสารหรือเรือสาธารณะได้เพราะจะมีแค่ช่วงเช้าเท่านั้น (เที่ยวบินส่วนมากจะล่าช้า)ต้องนอนที่เมืองหนึ่งคืน ซึ่งหลายคนบอกถึงเรื่องราคาโรงแรมที่ค่อนข้างแพง

การเดินทางโดยรถยนต์จากเมือง Sittwe

ใช้เวลาเดินทางรถยนต์ประมาณ 3 – 4 ชม.  มีถนนเข้าไปเพียงเส้นเดียวเท่านั้น และในฤดูมรสุมมักจะทำให้ถนนเสียหายจนบางทีไม่สามารถสัญจรไปมาได้

  • รถโดยสารมีหลายเที่ยวตั้งแต่เช้าออกจาก Sittwe  ราคา K4000 เป็นรถที่จะแล่นมาจากเมืองอื่นเพื่อไป มัณฑะเลย์ หรือ Magwe
  • รถตู้ที่เราสามารถนั่งรวมไปกับคนอื่นๆได้ในราคา US$ 30 โดยติดต่อล่วงหน้าตาม E Mail: mraukukyawmoe@gmail.com ชื่อ Mr. Kyaw Moe (จอว์ มอ)

การเดินทางโดยรถยนต์เมืองจากมัณฑะเลย์

  • รถโดยสารใช้เวลา 20 ชม. K25,000

การเดินทางโดยเรือจากเมือง Sittwe

  • บริษัท Inland Water Transport  อังคาร / ศุกร์ 08.00 (7 ชม.)  ราคา US$7
  • บริษัท Shwe Pyi Tan  พุธ/ศุกร์/อาทิตย์ 07.00 (2ชม.)  ราคา K25,000
  • เรือรับจ้างเหมาลำ US$160
  • เรือรับจ้างแบบแชร์กันหลายคน ซึ่งถ้าเครื่องบินของเราไม่ล่าช้าไปกว่า 14.00 จะสามารถโดยสารเรือที่แชร์กันในราคา US$ 30 เราแนะนำให้ติดต่อกับ Mr. Kyaw Moe (จอว์ มอ) E Mail: mraukukyawmoe@gmail.com เพราะถ้าหากเครื่องบินล่าช้าก็ยังสามารถโดยสารรถตู้ไปได้ในราคาเดียวกัน  
Thanawat: REMINDER

View Comments (4)

  • เขียนดีมากๆครับ และขอชื่อชมเรื่องการปลูกฝังเกี่ยวกับการให้เกียริตชาวท้องถิ่นรวมถึงความยั่งยื่น (sustainability) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขยะหรือเรื่องการบริจาคครับ ชอบมากๆครับ