ถ้าใครที่ชื่นชอบปราสาทเก่าเมืองโบราณก็สามารถแวะเที่ยวที่ Ani ใกล้ๆเมือง Karsในเขตประเทศสาธารณรัฐอาร์เมเนียก่อนได้ เป็นโบราณสถานแบบArmenien ที่เลื่องชื่อ แต่เราไม่ได้ไปครับเพราะไม่มีเงิน ถ้าใครจะไปต้องเหมารถไปเอง ซึ่งก็พยายามหาเพื่อนนักท่องเที่ยวคนอื่นมาหารค่ารถไปด้วยกัน แต่ผมไม่เห็นใครซักคน!! แต่ถ้าจะนั่งรถโดยสารไปเองก็สุดแสนจะประหลาดเพราะมันจะมีแค่วันละหนึ่งเที่ยว คือบ่ายโมงแล้วกลับอีกทีในวันรุ่งขึ้น เราก็เลยได้แต่เดินเล่นขึ้นไปบนป้อมปราสาทเก่าของเมือง
บ้านเมืองส่วนใหญ่ในแถบนี้จะเต็มไปด้วยฝุ่น หักๆพังๆเสียเป็นส่วนใหญ่ เด็กที่โรงแรมมาต้อนรับก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็ได้แต่เขียนตัวเลขส่งกันไปมา จนได้กุญแจห้อง ยกของขึ้นไปชั้นสามเปิดเข้าไป กลับพบว่าไม่มีเตียง ห้องเหมือนโดนยกเค้า ลิ้นชักตู้เปิดออกทุกบาน บางอันหล่นลงมากองกับพื้น ชักใจคอไม่ดีแล้ว ลงมาบอกเด็กแต่คุยกันไม่รู้เรื่องก็เลยจูงมือให้มาดูด้วยกันเลย เด็กก็รีบวิ่งลงไปเอากุญแจอีกห้องมาให้ใหม่ ได้พักเสียที
ก็เจอเรื่องแย่ๆหลายเรื่องเกี่ยวคนที่คอยมาหลอก มาโกง กว่าจะรู้แหล่งคนน่ารัก อาหารราคาเป็นจริงก็เกือบกลับแล้ว มีอยู่สองเรื่องที่ไม่เล่าคงไม่ได้ เพราะเจ็บใจมาก เผื่อคนอื่นไปจะได้ระวังตัวกัน ตอนนั้นพวกเราพักกันแถว Sultanahmet ที่ใกล้กับย่านเก่าและแหล่งท่องเที่ยว มันจะมีโทรศัพท์ระหว่างประเทศอยู่ในตึกเก่าๆเหมือนเป็นถ้ำ เห็นเค้าใช้ระบบแบบวางสายแล้วใบเสร็จก็ไหลพรืดออกมา อืมน่าจะไว้ใจได้ ก็ถามลุงแกดูว่าโทรกลับเมืองไทยเท่าไหร่ แกก็บอกราคาปกติ ก็โทรกลับมาบ้านได้ไม่ถึงนาทีก็วางสาย ใบเสร็จออกมาพรืดดดดดออกมา 20 ดอลล่า!!!!!! ลมใส่มีติดตัวอยู่สิบดอลเองในตอนนั้น ก็ทะเลาะกับลุงไปพักนึงถึงความแพงมหาโหด นึกว่าบ้านเราอยู่ที่บนดาวอังคาร ก็เลยให้แกไปสิบก่อนบอกเดี๋ยวจะไปเอาที่ห้องมาให้อีก แกก็ทำหน้าไม่พอใจอย่างแรง ก็กลับไปเอาเงินมาให้แกอีกสิบ แกกลับบอกว่ามันยี่สิบทำไมให้แกมาแค่สิบ โหยยยย หัวร้อนขึ้นมาทันทีที่แกทำเป็นลืมว่าเราเคยให้ไปสิบดอลแล้ว ทะเลาะกันเสียงดังมาก เริ่มมีคนมาดู แกก็บอกจะไปฟ้องตำรวจ เราก็บอกเชิญตามสบาย! แล้วออกมาเลย เหนื่อยมากกับแค่เรื่องโทรศัพท์
แล้วยังมีอีกเรื่องนึงที่น่าประทับใจนั่นก็คือ ไปเดินเล่นแถวสะพานที่มีเรือข้ามฝากระหว่างสองทวีป ก็เดินอยู่กับเพื่อนเจอลุงขัดรองเท้ากวักมือทำท่าขอยืมไฟแช็ค เราก็ให้แกยืม แกก็ขอบคุณยิ้มแย้ม แถมทำท่าบอกจะขัดรองเท้าเพื่อเป็นการตอบแทน(คิดเองนะเพราะฟังแกไม่รู้เรื่อง) เราก็บอกไม่เป็นไร แกทำท่าประมาณว่ามาเถอะจะเกรงใจทำไมเล่า (คิดเองอีก) ก็เลยยื่นเท้าไปให้ทั้งๆที่เราใส่รองเท้าผ้าใบ แกก็ชมรองเท้าสวย แล้วเอาฟองน้ำบีบน้ำสบู่ใสบนรองเท้า เฮ้ย ไงวะเนี่ย หันหน้ามองเพื่อน พอแกควักครีมอะไรออกมาอีกก็ยกเท้าถอยทันที พร้อมกับบอกขอบคุณแกเป็นการใหญ่และบอกลาในคราเดียวกัน ทันใดนั้นสีหน้าคุณลุงที่ใจดีก็กลายเป็นแขกทวงหนี้ขึ้นมาทันที โวยวายเสียงดังแบมือจะเอาค่าขัดรองเท้า ก็เลยตัดความรำคาญให้แกไปประมาณ 20 บาท แกก็ไม่ยอมด่าเช็ดเม็ด ตูก็ไ่ม่ไหวแล้วน้ำสบู่บนรองเท้าผ้าใบอะไรกันนักกันหนาจูงมือเพื่อนเดินไปเลยดีกว่า เสียงแกด่าจนลับหู เฮ้อเหนื่อย แค่ให้คนยืมไฟแช็ค! หลังจากแยกไปเที่ยวคนเดียว มันทำให้เราชั่งใจอย่างหนักว่าจะยิ้มให้หรือเมินใส่คนแปลกหน้าที่มาพูดคุยด้วยดี ใครมาดีมาร้ายเริ่มแยกไม่ออกจริงๆ
พอวางของเสร็จก็มีโทรศัพท์เข้ามาที่ห้องก็โดนชวนไปAni ถามเค้าว่ามีคนหารด้วยไหมก็ไม่มีเลยไม่ไปก็เลยวางสาย ลงไปจะหาอะไรกิน ก็ถามเด็กดูว่าใครโทรมาเพราะพูดภาษาอังกฤษดีเชียว เด็กก็งง ไม่รู้เรื่อง เอาไม่รู้ก็ไม่รู้
เราไปหาข้าวกินซึ่งเป็นร้านใน Lonely planet แนะนำเป็นร้านที่พวกนักเรียนชอบไปนั่งกัน ก็อร่อยดี พออิ่มแล้วก็เดินไปหาตั๋วรถไปเมือง Igdir ก็ไปเจอร้านนึงที่เจ้าของหน้าเหมือนคุณซัดดำมากกกก ไม่ยิ้ม ไม่พูดมาก แถมมีลูกน้องผู้ชายอีกสี่คนนั่งอยู่ พอรู้ว่าเรามาจากเมืองไทย ก็พูดถึงเรื่องมวยไทยเสียยกใหญ่ ยกน้ำชามาให้ดื่ม เราเห็นน้าเค้าใจดีก็เลยเอาโปสการ์ดรูปมวยไทยไปใบหนึ่ง เค้าชอบมากบอกว่าเรื่องตั๋วไม่ต้องห่วงมาพรุ่งนี้แล้วไปได้เลย (ปกติเวลาไปไหนจะชอบพกโปสการ์ดเกี่ยวกับเมืองไทยให้เป็นของขวัญกับคนที่ใจดีกับเรา)
เดินไปรอบๆเมืองเห็นแล้วก็สวยแบบแปลกๆดี บ้านเก่าๆหลายหลังในแบบเอเซียกลางยังมีอยู่ทั่วๆไป แต่ส่วนใหญ่จะพังกันหมดแล้ว และถูกต่อเติมแบบงงๆตามมีตามเกิดปุๆปะๆ ความรู้สึกจริงเมื่อเห็นเมืองรอบๆในวันแรกนั้น รู้สึกว่าเป็นเมืองอันแสนเศร้าเมื่อมาถึง ทุกอย่างมันดูเสื่อมโทรมหมดอายุขาดการดูแลรักษา
หลังจากนั้นจึงเดินขึ้นไปบนปราสาท Kars ซึ่งสร้างตั้งแต่ปี 1153 สร้างแล้วโดนทำลายแล้วสร้างใหม่อีกหลายยุค โดยส่วนตัวตัวปราสาทไม่ค่อยเหลืออะไร แต่ก็เป็นจุดชมวิวเมืองที่สวยดี ตอนกลับลงมาก็ค่อนข้างมืด แถมสองข้างทางก็เป็นเพิงที่พักของพวกคนไม่มีเงินไปเช่าบ้านมาปลูกอาศัยอยู่ ทางค่อนข้างน่ากลัว พอถึงข้างล่างจะไปซื้อของกิน แต่ร้านรวงกลับปิดกันหมดแล้ว ไม่มีเหลือเลยแม้แต่ร้านเดียว
พอกลับมาที่โรงแรม อาบน้ำเอาฝุ่นออกก็ได้ยินเสียงประตูห้องเปิด เราก็รีบออกจากห้องน้ำเห็นคนทำความสะอาดที่กำลังตกใจที่เห็นเรา แล้วน้าเค้ารีบออกจากห้องไป การเข้ามาทำความสะอาดตอนสองทุ่มกว่าๆมันสามารถสร้างความกังวลให้กับเราเป็นอย่างมาก คืนนั้นเลย ได้แต่นอนหลับๆตื่นๆ ต้องยอมรับว่ารู้สึกกลัว ถึงกับฝันว่ามีเพื่อนๆตามมาสมทบในทริปและปลอบเราว่าไม่ต้องกลัว เพื่อนๆมากันแล้ว ตื่นขึ้นมาก็ต้องเสียใจเพราะเราก็ยังอยู่ตัวคนเดียวและที่สำคัญฟ้ายังมืดยังไม่เช้าเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมง
ตื่นมาแล้วเราก็รีบพุ่งไปที่ร้านขายตั๋วเมื่อวาน พอไปถึงน้าแกก็บอกให้เดินไปซื้อเองที่ท่ารถเลยจะถูกกว่าซื้อกับเค้า โดยที่น้าเค้าเขียนข้อความใส่เศษกระดาษส่งให้เรานำไปยื่นตอนซื้อตั๋ว ระหว่างรอรถจึงออกไปหาของกินแถวๆนั้นที่มีแต่ขนมอันดูเหมือนจะหมดอายุกับส้มเหี่ยวๆ เราก็เลยซื้อติดไว้กันตายกับน้ำหนึ่งขวด
การที่นั่งรถบัสที่ไม่ได้เปิดแอร์และไม่ได้เปิดหน้าต่างบวกกับกลิ่นอวลของชายหนุ่มบนรถ มันชวนเวียนหัวดีแท้ แต่ดีหน่อยที่วิวสองข้างทางสวยมาก เป็นที่ราบสูงที่บางช่วงเป็นหินทั้งหมด บางช่วงเป็นทุ่งดอกไม้ทั้งเทือกสีม่วงมั่งเหลืองมั่ง บางช่วงลงมาตามหุบเขาก็จะเป็นเหมือนโอเอซีสที่มีต้นไม้กับการทำเกษตรกรรม คนที่นั่งข้างเราเป็นผู้หญิงสูงวัยนั่งเกร็งเชียว ซักพักใหญ่รถยางแตกพวกผู้ชายลงจากรถกันหมด พอมาถึงเมือง Igdir ก็ได้ขึ้นรถตู้คันเล็กต่อในทันที รถยิ่งแล่นไปยิ่งสวยเห็นดอกไม้ได้บ่อยขึ้น พอใกล้ถึงจุดหมายก็จะเห็น ภูเขาอารารัต จนรถมาจอดในเมือง Dogubayazit
Dogubayazit เมืองที่มี ภูเขาอารารัต เป็นจุดหมายที่สำคัญ
เราตั้งใจเดินทางมาตั้งไกลสุดขอบประเทศติดชายแดนอิหร่านด้วยความคาดหวัง แต่ที่นี่กลับดันศิวิไลกว่าที่เราคิดไว้ตั้งเยอะ เราเลือกนอนที่โรงแรมชื่อ Ararat เพราะจะได้มองเห็นภูเขาได้จากห้องพัก แต่ที่ตั้งมันจะติดกับแนวเขตทหาร(แถวนี้ค่ายทหารเยอะมาก) แถมยังเห็นรถถังวิ่งกันบ่อยๆ เราเก็บของแล้วว่าจะเดินไปหาจักรยานเพื่อขี่ไปวัง Ishak Pasa บนเขาแต่ไม่มีร้านไหนให้เช่าเลย ก็มองหารถเช่าอยู่สองสามร้านจึงค่อยเดินไปตามที่อยู่ในนามบัตรที่เด็กน้อยได้ให้ไว้(ตอนที่ลงรถมีเด็กเอานามบัตรมาให้พร้อมเดินมาส่งที่โรงแรม) ปรากฎว่าราคาถูกกว่าที่ที่เคยสอบถามมา แต่ให้ตายเหอะไม่เห็นมีนักท่องเที่ยวคนอื่นเลยซักคนในเมืองนี้ พี่สาวของน้องเด็กเค้าแนะนำว่าจะให้เราแปะป้ายไว้ที่บอร์ด เผื่อมีคนอื่นจะมาร่วมหารค่ารถด้วย แต่เรานอนที่นี่เพียงแค่สองคืนยังไงก็ต้องจองรถเอาไว้ก่อนสำหรับวันรุ่งขึ้น ถ้ามีใครมาก็โชคดีไป ก็ถามเค้าเหมือนกันว่าทำไมไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวเลย คำตอบก็คือเรื่องการก่อการร้ายในประเทศแถบมุสลิมที่รุนแรงขึ้น มีการลักพาตัวเรียกค่าไถ่ด้วย (ก่อนบินมา 1 เดือนก็มีระเบิดใน Istanbul) อย่างถ้าใครจะไปเดินเขาบน Mt Ararat ต้องขออนุญาตคุณตำรวจกับนำไกด์ที่มีปืนขึ้นไปด้วย !!!
พอจองรถเสร็จก็เดินเล่นรอบๆเมือง ไม่ค่อยจะมีอะไรซักเท่าไหร่ เลยไปหาอะไรกินตามร้านที่แนะนำในหนังสืออย่างเช่นเคย สั่งไก่ย่างสองไม้ ข้าว สลัด โค้ก แต่สิ่งที่แถมมาคือฝุ่นที่เกาะถ้วย จาน ชาม แก้ว เฮ้อ!อร่อยดี (อีกวันเราก็มาที่นี่สั่งเหมือนเดิมทุกอย่างแต่ราคาแพงกว่าเดิม!) พอกลับเข้าโรงแรมก็ดีใจเห็นมีกรุ๊ปทัวร์มาลง ท่าทางเป็นพวกคนยุโรปที่อยากมาดูซากเรือโนอาห์ (‘Noah’s Ark’) ก็ไปนั่งพักอ่านหนังสือสูบบุหรี่ที่ระเบียงกับชะโงกหน้าไปดูภูเขาไฟ Ararat(ต้องชะโงกจนเกือบตกถึงจะเห็น เพราะห้องที่เห็นแจ่มๆมันแพงเกินงบ) ซักครู่ก็เห็นเหล่ากรุ๊ปทัวร์ขนของย้ายโรงแรมพร้อมเสียงบ่นเซ็งแซ่ ก็สมควรแหละครับโรงแรมนี้เมื่อก่อนคงดูดี แต่เดี๋ยวนี้โทรมมากมีฝุ่นแทบทุกที่ แถมยังตกแต่งด้วยผ้าหนาๆไว้อมฝุ่นเล่นอีก ไม่มีพัดลม ไม่มีเครื่องปรับอากาศ แถมน้ำก็ไหลอ่อนเหมือนเยี่ยวมด(สีก็เหมือน) พวกกรุ๊ปกลับไปได้ซักพักก็มีเสียงระเบิดที่ถนนดังมากโผล่ดูเห็นแต่ควันขาวๆ และคนที่กล้าๆกลัวๆยืนดูอยู่ งงว่าเกิดอะไรขึ้น ไปสอบถามกับทางโรงแรมก็ได้คำตอบแบบคลุมเครือ แค่บอกให้เราอย่าไปตลาด หน้าค่ายทหารและให้รีบกลับก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เมื่อก่อนเมืองนี้คงคึกคักมากเพราะจะเป็นแหล่งที่คนขับรถเดินทางผ่านไปอิหร่าน อินเดีย ปากีสถาน เข้าจีน
วันนี้ตื่นแต่เช้ารีบกินอาหารที่เหมือนกันแทบจะทุกวันนั่นก็คือ ขนมปัง ชีส น้ำผึ้ง มะเขือเทศ มะกอก ไข่ต้มและขี้ฝุ่น แต่ที่นี่ห่วยที่สุดนับตั้งกินมาในตุรกี หลังจากกินเสร็จก็รีบไปที่บริษัททัวร์ในทันที คำถามแรกหลังทักทายก็คือ มีคนจะไปกับเราร่วมกันหารค่ารถกันไหม ไม่มีคือคำตอบ
รถก็ขับไต่ขึ้นภูเขาไปเรื่อยๆ วิวข้างทางแห้งแล้งมากเป็นหินกับฝุ่นต้องนั่งปิดจมูกไปตลอดทาง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะย้ายไปฝั่งซ้ายทีขวาที เพราะวิวแปลกตาสำหรับเราเป็นอย่างมาก จนรถมาจอดที่หน้าวัง Ishak pasa sarayi
พระราชวัง Ishak pasa sarayi
ตัววังประกอบไปด้วยโบสถ์สองแห่งและส่วนที่เป็นอาคารมีห้องครัวและห้องน้ำที่วิวสวยสุดๆ สร้างมาตั้งแต่ปี 1685 เป็นศิลปะแบบ Seljuk, Ottoman, Georgian, Persian และ Armenian โดย Colak Abdi Pasha ดูไกลๆบวกกับสิ่งแวดล้อมน่าจะดูดีกว่า พอเข้าข้างในก็ไม่ค่อยอินเท่าไหร่ เพราะน้องเด็กน้อยอายุแค่ 14 ที่มาเป็นไกด์พูดอังกฤษได้นิดๆหน่อยๆเลยไม่ได้ข้อมูลอะไรมากมาย(ก็เด็กคนเดียวกับที่เดินมาส่งเราที่โรงแรมเมื่อวานนี้) ก็เลยอาศัยอ่านจากที่ต่างๆเอาและที่น่าเสียดายนั่นก็คือที่นี่เต็มไปด้วยรอยจารึกจากคนมือบอนนานาชาติที่มาขีดเขียนตามผนัง มันเยอะมากจนน่าใจหาย
พอจะเดินไปเก็บภาพจากมุมสูงที่เห็นจากตามหนังสือ น้าคนขับก็เริ่มบ่นๆ เดาๆเอาเองว่าจะไปไหนของมันขึ้นรถเหอะเสียเวลา น้องไกด์เด็กก็ได้แต่เดินตามเก้ๆกังๆ เราก็ทำเป็นไม่สนใจเดินไปถ่ายรูปอีกนิด สูบบุหรี่อีกตัว แล้วค่อยกลับขึ้นรถ ตาน้าคนขับยังคงปึงปังไม่เลิก
พอขับลงเขาแล้วเลี้ยวไปทาง ภูเขา Ararat
ก็พบว่าทางแย่มากมีรอยน้ำเซาะจนถนนเป็นร่องลึก มีบางช่วงที่ต้องลงมาช่วยน้าแกดู แต่แล้วก็พบกับฝันร้ายเมื่อล้อข้างนึงตกลงไปในรูร่องน้ำ พยายามที่จะขึ้นมาเท่าไหร่ก็ไม่ได้ ผ่านไปครึ่งชั่วโมงรถก็ยังอยู่ที่เดิม จนน้าเค้าต้องเดินไปขอจอบของชาวบ้านแถวนั้นมาช่วยกันทำไหล่ทางโดยขนหินมาหนุน เราจะมาช่วยเค้าก็ไม่ยอม ผ่านไปซักพักก็มีแท็กซี่คันนึงมาจอด มีผู้ชายเต็มคันรถ ทุกคนช่วยกันโดยใช้เวลาไปชั่วโมงครึ่งรถถึงออกจากรูนรกนี้ได้
หลังจากนั้นก็ตุเรงๆอ้อมเขาเข้าหมู่บ้านที่สวยมากๆไปจอดรถพักกัน แต่ให้ตายเหอะไม่มีของกินขายเลย เราเริ่มหิวมากแล้ว จะมีแต่พวกของที่ระลึก และก็มีเราเป็นเหยื่อโดนรุมอยู่คนเดียวที่ไม่ได้อุดหนุนอะไรเพราะแพงอยู่พอสมควร ก็เลยเดินเล่นไปรอบๆพร้อมขบวนแห่แม่ค้าที่คอยตามตื้อ
หลังจากลงจากเขาก็ขับไปทางชายแดนอิหร่าน
โดนตรวจรถกับหนังสือเดินทางสองที โดนถามว่ามาทำไมคนเดียวทั้งสองครั้ง แต่พอรู้ว่ามาจากไทยแลนด์ก็พูดแซวถึงมวยไทยกันยกใหญ่พร้อมทำท่าทำทางประกอบหัวเราะเฮฮาในขณะที่มือยังถือปืนอยู่แบบนั้น เราได้แต่ยิ้มแห้งๆกลัวปืนลั่น รถขับผ่านจนถึงชายแดนอิหร่านแล้วเลี้ยวซ้าย มีป้อมทหารถือปืนเป็นระยะน่ากลัวดีแท้ จนรถมาจอดที่หลุมอันนึง ซึ่งน้องเด็กบอกอะไรที่เราไม่สามารถจับใจความได้ น้องเค้าเอาแต่โหนโครงเหล็กเล่นอย่างสนุกสนาน มารู้ทีหลังว่าเป็นหลุมที่เกิดจากพายุหมุนจนเป็นรูขนาดใหญ่ โถ!มาตั้งไกลพามาดูแค่เนี่ย!
รถก็ขับออกมาทางเดิม ขึ้นเขาอีกลูกแต่ไม่สูงเท่าลูกก่อน เพื่อพาไปดูซากเรือโนอาห์ ตามตำนานเมื่อครั้งที่น้ำท่วมโลกได้ลดลง ภูเขาอารารัตนั้นเป็นที่แรกที่โผล่พ้นผิวน้ำ และเรือของโนอาห์ (Noah’s Ark) ก็จอดอยู่ ณ ตำแหน่งนี้ เค้าให้ดูได้ในระยะไกลเท่านั้น ไม่สามารถเดินเข้าไปใกล้ๆได้ แล้วมานั่งจิบชากับคุณตาคนนึงแถวนั้นพร้อมน้องเด็กและน้าคนขับ
หลังจากนั้นรถก็กลับเข้ามาทางเมืองและแวะจอดข้างทางที่รกร้าง มีอาคารที่พรุนไปด้วยลูกกระสุนปืน แต่วิวนั้นสุดยอด เห็นทิวทัศน์ได้แบบพาโนรามา มีสายน้ำที่ไหลมาจากภูเขาไฟ Araratจากการละลายของน้ำแข็งที่ใสแจ๋ว เราได้ล้างฝุ่นออกจากหน้าบ้างก็สดชื่นขึ้น ไปเที่ยวมาทั้งวันชอบมุมนี้ที่สุด เลยเดินเล่นอ้อยอิ่งอยู่นานมาก จนน้าคนขับแกเริ่มบ่นอีก ก็เลยแกล้งเดินหนีไปถ่ายรูปไกลๆทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ซักพักเราก็กลับเข้าเมืองกัน พอถึงออฟฟิศก็เจอสาวน้อยผิวเข้มนักท่องเที่ยวจากJamaica มารออยู่ แม่เจ้าประคุณมาช้าไปวันนึง ต่างคนต่างบ่นเสียดายเพราะเธอก็เป็นโรคตังค์น้อยเหมือนกัน
เย็นวันนั้นหลังอาหารก็ไปเดินเล่นบนเนินเขา เดินมาไกลเหมือนกันจนถึงยอดนึงที่เป็นจุดชมวิวของเมือง ที่ไม่ค่อยสวยซักเท่าไหร่ แต่ลมก็เย็นดี มีเด็กๆเดินตามมากลุ่มใหญ่แบมือพร้อมใจกันพูดว่า ฮัลโหลกับมันนี่ อยู่แค่สองคำ เราก็ได้แต่นั่งปลงชมวิวไป ทันใดนั้นเด็กหัวโจกในกลุ่มมาคว้าห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ที่เรานั่งทับอยู่ แล้วยื่นมาถามประมาณว่าของเราหรือเปล่า พอบอกว่าไม่ใช่ทุกคนก็ฉีกแย่งเม็ดทานตะวันที่คนคงลืมทิ้งไว้กันจนหกเรี่ยราด เด็กตัวน้อยที่ดูสกปรกที่สุดคนนึงโดนหัวโจกชกคว่ำ เราก็เลยหันไปตวาด แต่เด็กเวรนั่นดันลากเหยื่อขึ้นมาแล้วบอกเราประมาณว่าหมอนี่ชกมันเล่นได้ แล้วมาคว้ามือเราจะให้ไปชกบ้าง เราก็สะบัดมือออกแล้วเดินหนี เด็กคนอื่นๆเดินตามลงจากเขามา พร้อมพูดประโยคเดิมๆ ฮัลโหลมันนี่ๆ มีแต่เด็กที่โดนชกยังคงนั่งเก็บเม็ดทานตะวันบนพื้นกินอยู่ โอ๊ยเซ็งแต่ไม่รู้จะทำยังไง เดินลงมาเกือบถึงถนนเด็กเริ่มเยอะขึ้นจากหกเจ็ดคนกลายเป็นสิบกว่าคน ทุกคนพูดประโยคเดียวกัน บางคนเริ่มคว้าเสื้อ คว้ากระเป๋า และใช้หินเขวี้ยงใส่ เราจึงได้แต่รีบเดินหนี จนมาเจอคุณป้าคนนึงที่เห็นเหตุการณ์เข้า เลยคว้าไม้มาไล่ฟาดเด็กๆ ขอบคุณคุณป้ามากๆเลยครับ
เช้าวันต่อมาก็นั่งรถกลับเมือง Igdir โดยน้องไกด์เด็กมานั่งรอหน้าโรงแรมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ บอกอยากเดินไปส่ง เราก็เลยให้โปสการ์ดไปหนึ่งใบกับขนมเค้าก็ดีใจใหญ่ พอนั่งรถมาถึงเมืองIgdir ก็ต้องรอรถเที่ยวต่อไปนานพอสมควร ก็เลยไปนั่งที่ร้านน้ำชา สักพักมีเด็กน้อยมาคุยด้วยบอกอยากฝึกภาษาอังกฤษ(บ้านนี้เมืองนี้เด็กเต็มไปหมด) ก็คุยสนุกดีเราเลยเลี้ยงไอติมน้องเค้าไป แต่เจ้าของร้านน้ำชาออกมาด่าอะไรอีกก็ไม่รู้ประมาณว่า กินของร้านอื่นก็ไปนั่งร้านอื่นน้องเด็กเลยสั่งชามาอีกสองถ้วยพร้อมจ่ายเงินให้ด้วย จึงหุบปากไปได้ เราเลยให้โปสการ์ดน้องเค้าไปใบนึงพร้อม E mail เผื่อไว้เขียนจดหมายฝึกภาษากัน (แต่จนบัดนี้ยังไม่เคยได้จดหมายน้องเค้าเลย)
นั่งบนรถมาได้ครึ่งทางก็เจอหลานชายแบกคุณตาแก่ๆถึงสองคนที่ดูป่วยร้องครวญคราง หันไปทางไหนก็เห็นแต่เนินสูงๆต่ำๆ ไม่รู้แบกมากันไกลแค่ไหน(สุดลูกหูลูกตาไม่เห็นมีบ้านคน) ทั้งยังไม่มีร่มเงาต้นไม้ใหญ่ไว้รอเลยซักต้น พอถึงเมืองใหญ่คนในรถก็ช่วยแบกคุณตาทั้งสองลงเข้าโรงพยาบาล พอรถแล่นลงสู่ที่ราบก็มีเต้นท์ผ้าแบบมองโกลเลียกับฝูงม้า แปลกตามาก ผ่านไปซักครู่ก็มีคุณยายคนหนึ่งวิ่งออกมาจากพงหญ้าโบกรถแบบสุดเหนี่ยว แต่พอคุยกับคนขับแล้วเหมือนไปกันคนละทางยายแกเลยเซ้งเข้าไปนั่งยองๆในพงหญ้าต่ออย่างอ่อนแรง
พอถึงเมือง Kars ก็รีบหาอะไรกินแล้วเดินชมเมืองอีกรอบ ทำไมเมืองวันนี้มันดูน่ารักและรื่นรมย์กว่าเมื่อแรกมาถึงอย่างบอกไม่ถูก
ทั้งรูปและบทความนี้เป็นการรวบรวมมาจาก Blog เก่าเมื่อนานมาแล้ว(2008) แต่จากการที่ได้พูดคุยสอบถามเพื่อนที่เพิ่งได้ไปเที่ยวที่นี่เมื่อปีที่แล้วก็กลับพบว่า ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงเสียเท่าไหร่ ยกเว้นแต่ว่าจะรู้สึกปลอดภัยกว่าในสมัยที่เรามาและยังอุ่นใจกว่าในเมืองอิสตันบูลเสียด้วยซ้ำไป^^