REMINDING ME: Ban Gioc ,Cao Bang Vietnam
ตอนที่ 2 เที่ยวเวียดนามเหนือ 14 วัน
น้ำตกบั่นซก Bản Giốc ในจังหวัดกาวบั่ง Cao Bằng อยู่ห่างจากทะเลสาบบาเบ๋ไปทางเหนือ 185 กิโลเมตร เป็นน้ำตกที่กว้างที่สุดในเวียดนาม ตั้งอยู่บนชายแดนเวียดนาม – จีนล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ และภูเขาที่เป็นแบบฉบับของเวียดนามเหนือโดยเฉพาะ
“น้ำตกบั่นซก และ หมู่บ้านข่วยกี เป็นภาพที่เห็นแล้วไม่ต้องขบคิดเพื่อที่จะเข้าข้าง สิ่งที่แวดล้อมเป็นความยอดเยี่ยมที่เติมเต็มความรู้สึกให้ผู้มาเยือนมีความสุขได้อย่างไม่มีข้อกังขา ที่นี่จึงเป็นอีกที่ที่น่าประทับใจที่สุดในเวียดนามเหนือได้อย่างไม่ต้องสงสัย”
การเดินทางจากทะเลสาบบาเบ๋ – น้ำตกบั่นซก
เราเริ่มออกจากที่พักตอนเจ็ดโมงเช้า โดยมีพ่อบ้านขับเรือมาส่ง เขายื่นขนมปังมาให้เราหนึ่งแถวเอาไว้ให้กินในระหว่างเดินทางก่อนรำ่ลากัน เราจ่ายค่ารถเพียงครั้งเดียวกับคนขับ 300,000 vnd แล้วจะถูกส่งต่อๆกันจนถึงจุดหมายอย่างเช่นเคย รถออกเจ็ดโมงครึ่งแล้วจอดรับผู้คนและสิ่งของได้เพียงครึ่งชั่วโมง เด็กรถบอกให้เราลงกลางทางแล้วข้ามถนนมาขึ้นรถอีกคันที่แล่นสวนมา จนเวลาเที่ยงครึ่งรถถึงมาจอดเทียบที่สถานีขนส่งกาวบั่ง Cao Bằng เราสั่งบั๋นก๋วน ปากหม้อที่กินกับน้ำซุปยังไม่ทันหมด ก็ถูกเรียกให้ขึ้นรถอีกครั้ง รถแล่นผ่านภูเขาที่ดูแปลกตาเหมือนเริ่มที่จะเข้าเขตที่เป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคแห่งเวียดนามเหนือ พื้นที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกทางธรณีวิทยาที่มีความสำคัญจากยูเนสโก (NON NUOC CAO BANG UNESCO GLOBAL GEOPARK)
เราเปิด Google Map เมื่อใกล้ถึง กำลังตัดสินใจว่าจะลงใกล้ที่พักที่กำลังดูๆไว้หรือไปลงที่น้ำตกดี แต่ในที่สุดก็ปล่อยไหลไว้ค่อยว่ากัน (จริงๆแล้วถ้าใครจะพักที่หมู่บ้านข่วยกีให้ลงตรงทางแยกดีกว่า) เด็กรถเรียกให้เราเตรียมตัวลง เราได้ยินเสียงน้ำตกดังมาแต่ไกล จิตใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สิ่งที่เห็นมันสวยงามมากจนเราหุบยิ้มแทบไม่ลง เราเดินเหม่อเหมือนโดนป้ายยา วางกระเป๋าไว้ที่เพิงขายน้ำอ้อย แล้ววิ่งลงไปดูน้ำตกในระยะใกล้
แสงแดดยามสี่โมงเย็นมันเป็นเวลาที่ทำให้คนเพ้อได้ง่ายๆ เมื่อเราเดินทางมาเหนื่อยๆ แล้วเห็นสถานที่ใดเป็นครั้งแรก ทุกอย่างมันจะดีงามสดใสดูโลกสวยไปหมด เราเดินกลับขึ้นมาเอากระเป๋าแล้วยิ้มแหยๆให้คนขายน้ำอ้อยที่ยังดูงงๆกับเราอยู่ พอสอบถามเรื่องค่ารถที่จะเดินทางไปหมู่บ้านข่วยกีที่ย้อนกลับไปสองกิโลเมตรซึ่งตอนนี้มีแต่รถแท็กซี่ในราคา 100,000 vnd เราเลยตัดสินใจเดิน เผื่อเปลี่ยนใจเจอที่พักที่ถูกใจกว่า
เราเดินตามถนนจนมาถึงจุดตัดซึ่งเป็นถนนเล็กๆ มีฝูงวัวและควายเดินสวน ผ่านทุ่งนาและไร่ข้าวโพดที่แทรกอยู่ตามหุบเขา ด้านขวามือที่มีลำธารกั้นขวางคือหมู่บ้านข่วยกี Khuổi Ky ที่เป็นจุดหมาย
แหล่งท่องเที่ยวแถว น้ำตกบั่นซก
หมู่บ้านข่วยกี Khuổi Ky
ทันทีที่สายตามองผ่านพุ่มไม้เห็นม้ายืนกินหญ้าอยู่ มีบ้านหินอยู่หลังต้นหลิวริมน้ำใส ในใจคิดชื่นชมว่าที่นี่มันช่างน่ารักน่าชังเอามากๆ พอเดินต่อมาหน่อยจะมีฝายกั้นน้ำและสะพานข้ามลำธารที่ชื่อข่วยกี Khuổi Ky อันเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้าน
บ้านหิน 14 หลังที่มีอายุเกิน 300 ปีนี้สร้างจากการวางเรียงที่แต่ละหลังใช้เวลานานถึงสามปี หมู่บ้านชาวไต ที่มีการนับถือหินเป็นดั่งทวยเทพ จิตวิญญาณที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นในเรื่องของความเชื่อของการเคารพต่อธรรมชาติเพื่อปกปักษ์รักษาวิถีชีวิตเกษตรกรรมให้ยั่งยืนอย่างมีความสุข
ดินแดนบ้านหินที่หลายคนต่างยกย่องว่ามหัศจรรย์นี้ ซึ่งก็ไม่เห็นต่างจากพวกเค้านัก เพราะตัวเราก็หลงรักได้ตั้งแต่แรกเห็น องค์ประกอบที่จะสร้างความประทับใจมีให้อย่างเต็มเปี่ยม ทันทีที่เราเอากระเป๋าไปเก็บที่ Mảy Linh Homestay ก็ออกเดินเล่นในหมู่บ้านทันที ในตอนเย็นๆจะมีชาวบ้านโดยเฉพาะเด็กๆออกมาที่ลำธารกันมากหลังจากที่กลับจากการทำไร่ทำนา ช่วงนี้ของวันที่นี่จึงจะดูมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ
การดูแลแขกที่มาพักของชาวไตส่วนใหญ่สร้างความทรงจำที่ดีให้กับนักเดินทาง จนเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่หลายคนเขียนถึง สองสาวพี่น้อง (หรือแม่ลูก?) ที่ Mảy Linh Homestay คืออีกหนึ่งเรื่องที่น่าประทับใจ ส่วนใหญ่เวลาที่จะได้พูดคุยกันก็คือช่วงมื้ออาหาร ซึ่งหากจะสนทนาทั่วๆไปเรื่องของกินหรือหนึ่งสองสามสี่ …. เราเลือกที่จะคุยภาษาไตและไทยของเรากัน โดยที่ไม่พึ่งพา Google Translate ก็เข้าใจมั่งไม่เข้าใจมั่งแต่ก็สนุกสนานกันดี คนน้องที่ชื่อ Lihn จะคอยถามเรา ว่ากินหวานไหม (อร่อยหรือเปล่า) ตลอดเวลา โดยเฉพาะในวันแรก เพราะถ้าเราไม่จองที่พักหรืออาหารก่อน พวกเธอก็ไม่มีเวลาที่จะเตรียมตัว แต่เราว่าอาหารพื้นบ้านที่นี่อร่อย โดยเฉพาะพวกผักหรือหน่อไม้ ตลอดสองคืนที่เราพักอยู่ที่นี่ มันรู้สึกพิเศษมากจริงๆ
เมื่อก่อนการเข้าถึงสถานที่แบบนี้หรือจะมีบทสนทนากับท้องถิ่นนั้นเป็นเรื่องยาก ต้องมีคนจัดการที่เป็นคนกลางอันมีค่าใช้จ่ายสูง ตั้งแต่มี Google Translate , Google Map หรือพวก Booking.com , Agoda มันทำการเดินทางไปในที่ต่างๆง่ายกว่าแต่ก่อนมาก ทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้ธุรกิจท้องถิ่นขนาดเล็ก สามารถดำเนินกิจการต่างๆโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเอเจนซี่หรือพวกนายหน้าคนกลางที่ภาษาได้มาคอยอาเปรียบ (คนที่เชื่อมโยงธุรกิจกับคนท้องถิ่นที่ดีๆก็มีอยู่เยอะเหมือนกันที่เวียดนาม) เหล่าแท็กซี่หรือเด็กรถที่คอยโกหกว่าโรงแรมที่เราต้องการจะพักเต็มหรือปิดบริการ แล้วพาไปเช็คอินในสถานที่ที่ราคาไม่ยุติธรรมคงต้องยกเลิกการกระทำดังกล่าว โรงแรมเล็กๆที่ไม่ได้อยู่ในไกด์บุ๊คหรือเจ้าของที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ก็ยังทำธุรกิจกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้ ที่พักห้องแถวที่ตั้งชื่อคล้ายๆกับโรงแรมฮิตๆในฮานอยลดน้อยลงไปจากแต่ก่อนมาก โฮมสเตย์ในหมู่บ้านที่ห่างไกลก็กลายเป็นเรื่องง่ายในการเข้าถึง
ฟังชั่นสนทนาใน Google Translate ถือว่าดีมากๆ ทำให้เราพูดคุยกับผู้คนในเรื่องต่างๆได้อย่างสนุกสนานเหมือนได้กินวุ้นแปลภาษาเข้าไป ถึงแม้บางทีจะมีการแปลอะไรบางอย่างที่ชวนให้สะดุ้ง แต่ก็ยังพอคาดเดาได้ว่าหมายถึงอะไร อย่าง “ฉันจะเอาผัดผักกับไข่ราดบนหน้าของคุณ” “อยากให้คุณอยู่ขึ้นคร่อมที่นี่ต่ออีกหนึ่งวัน” …..
เราหวังว่าเทคโนโลยีดังกล่าวหรือสิ่งใหม่ๆในอนาคต จะทำให้โลกไร้พรมแดนนั้นเกิดขึ้นกับทุกๆคนไม่ว่าจะพูดภาษาอะไรหรือตั้งอยู่ที่ไหนๆบนโลกใบนี้ก็ตามที
ถ้ำเหงื่อมงาว Ngườm Ngao
เดินผ่านหมู่บ้านข่วยกีไปตามถนนเข้าไปอีก 700 เมตร จะถึงถ้ำเหงื่อมงาว ซึ่งเป็นที่หลบภัยพักพิงให้กับชาวบ้าน เมื่อบริเวณนี้ที่มีสงครามกับจีนในช่วงปี 1979 เป็นถ้ำที่เกิดจากธารน้ำใต้ดินที่ยาวหลายกิโลเมตร นับเป็นถ้ำที่มีความสำคัญในเชิงธรณีวิทยาที่มีระบบสมบูรณ์อีกถ้ำหนึ่งในเวียดนาม
เราออกจากที่พักตอนเจ็ดโมงเช้าเพื่อมาที่นี่ เจ้าหน้าที่เพิ่งเปิดไฟภายในถ้ำให้เราได้เข้าไปเป็นคนแรก ภายในอากาศที่เย็นกลับทำให้รู้สึกวังเวงมากกว่าสดชื่น ทางเดินภายในถูกสร้างมาอย่างดีทำให้สะดวกกับการเยี่ยมชม ส่วนใหญ่เวลาที่เรามาเที่ยวถ้ำที่มีการติดตั้งไฟเพื่อส่องสว่าง หลายๆที่กลับทำให้โค้งเว้า หินงอกหินย้อยลดความสวยงามลงไปอย่างถนัดตา บ้างย้อนแสงแยงตาเวลาเดิน แต่ก็นับเป็นเรื่องยากเพราะคงต้องใช้ผู้ชำนาญการเฉพาะทางจริงๆที่จะมาทำในเรื่องแบบนี้ เคยไปถ้ำที่จีน ถึงแม้จะมีสีสันหลากหลายเป็นสายรุ้งไปหน่อย แต่การเรืองรองส่องสว่างแบบได้สัดส่วน มันทำให้ถ้ำนั้นสวยงามมากขึ้นจริงๆ เราเดินมาจนสุดเกือบสุดทาง ลูกศรชี้ทางออกตั้งอยู่บนเนินสูง ทางเดินหายกลืนไปกับหินงอกที่พื้นอย่างลึกลับ (มีเชือกกั้นทำให้ดูงงๆเนื่องจากมีการซ่อมแซมทางเดิน) เราพยายามหาทางไปยังลูกศรที่เห็นโดยพยายามไม่เหยียบหินงอกที่พื้น จึงหาทางปีนเนินดินที่ทั้งสูงและลื่นมาก จนต้องเอาก้นไถลไปกับพื้นโคลน ตอนเดินออกมาแม่ค้าที่เพิ่งมาตั้งแผงดูตกใจที่เห็นเราในสภาพอย่างนั้น เราได้แต่ยิ้มแหะๆกลับไป
เมื่อเดินกลับมาถึงหมู่บ้านจึงถือโอกาสลงล้างตัวลงเล่นน้ำเสียเลย เสียงพี่สาวโฮมสเตย์ร้องเรียกเราเสียงดังลั่น เธอเดินกลับเข้าหมู่บ้านมาเห็นเราแล้วงงว่าลงไปทำอะไร เรายิ้มแหะๆตอบกลับไปอย่างเช่นเคย
วัดจุ๊กเลิมฟาติจ Truc Lam Phat Tich Pagoda Pass
เมื่อล้างตัวที่เปื้อนโคลนออกเสร็จก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเดินไปยังน้ำตกต่อทันที ก่อนถึงทางด้านขวามือ จะเป็นที่ตั้งของวัดจุ๊กเลิมฟาติจ ที่ต้องเดินขึ้นเนินสูงไปบนภูเขา ซึ่งจะมองลงมาเห็นน้ำตกในมุมสูงที่สวยงาม ที่นี่เป็นวัดแบบดั้งเดิมของเวียดนาม ถือว่าเป็นวัดแห่งแรกในเวียดนามเหนือ มีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมประดิษฐานอยู่ด้านบนและมีวัดแห่งวีรบุรุษของชาติ นุงจีกาว Nung Tri Cao ผู้นำท้องถิ่นที่เสียสละต่อสู้เพื่อปกป้องชายแดนทางตอนเหนือของเวียดนาม เราอ้อยอิ่งอยู่บนนี้อยู่นาน เพราะเมฆที่ดูมืดครึ้ม เรารอจังหวะเผื่อฟ้าเปิดจะได้รูปน้ำตกในมุมสูงที่สวยกว่าเดิม
น้ำตกบั่นซก Ban Gioc
แม่น้ำเก็วยเซิน Quây Sơn ที่ไหลลัดเลาะมาจากมณฑลกวางสีเข้าสู่ประเทศเวียดนาม และกลายมาเป็นน้ำตกบั่นซกอีกฟากฝั่งของสายน้ำเป็นประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ถือได้ว่าเป็นน้ำตกพรมแดนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก
ภาพของน้ำตกถูกนำมาใช้ในโปรโมทการท่องเที่ยวอย่างมากมาย ไม่ว่าจะในเอเจนซี่ตัวแทนจำหน่ายหรือตามโรงแรมต่างๆ แม้กระทั่งเหล่าร้านพรีเวดดิ้งก็จะมีน้ำตกแห่งนี้เป็นฉากหลังในภาพถ่ายที่ประดับผลงานเอาไว้เรียกลูกค้าให้มาใช้บริการ สถานที่แห่งนี้จึงนับว่ามีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเวียดนามเหนือเลยก็ว่าได้
เรามานั่งนึกว่าทำไมมันยิ่งใหญ่และสวยงามขนาดนี้แล้วทำไมเราถึงไม่รู้จักมาก่อน เพิ่งจะเคยเห็นภาพก็เมื่อสองสามปีที่ผ่านมานี่เอง ในสมัยก่อนหากใครอยากมาเที่ยวน้ำตกแห่งนี้ จะต้องไปจากทางจีนเท่านั้น พื้นที่ฝั่งเวียดนามเพิ่งได้รับการพัฒนาในการสร้างถนนให้เข้าถึงช่วงเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมานี่เอง
ที่นี่จะมีแพเพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งสองฝั่งได้แล่นเข้าไปชื่นชมน้ำตกในระยะใกล้ แต่การขึ้นไปเหยียบแผ่นดินของกันและกันไม่ได้รับอนุญาตให้ทำได้อย่างเป็นทางการ เราเดินเล่นอยู่ที่นี่อยู่หลายชั่วโมงเพื่อรอแดด เปลี่ยนที่นั่งอยู่ก็หลายครั้ง แดดก็ยังไม่มา ของกินอย่างพวกอาหารเรานึกว่าจะมีขายกันเยอะกว่านี้ แต่กลับมีเหมือนของกินเล่นกับพวกมาม่าต้ม เราเลยอดทนไว้ขึ้นไปหาอะไรกินที่อื่นดีกว่า พอช่วงบ่ายสองโมงเริ่มมีแดดส่องรอดเมฆลงมาเป็นช่วงๆ วันนี้มีคนมาถ่ายรูปพรีเวดดิ้งด้วยกันถึงสามคู่ นอกจากน้ำตกที่สวยงามแล้ว เราว่าหน้าตาผู้คนที่มาเที่ยวก็ทำให้สดชื่นอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะคนที่เพิ่งลงมาเห็นน้ำตกใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะยิ้มกว้างดวงตาเบิกโพลงไม่ต่างอะไรกับเราเมื่อวานนี้
ที่น่ามึนงงอีกเรื่องคือชื่อน้ำตก ในทีวีรายการหนึ่งมีไกด์เป็นชาวเวียดนามออกเสียงที่นี่ว่า “บั่นยก”, แม่บ้านโฮมสเตย์ที่บาเบ๋ออกเสียงว่า “บั่นเจี้ยบ”, เด็กรถที่กาวบั่งออกเสียงว่า “บั่นเซียบ” ส่วนตัวเราให้อ่านเองคงออกเสียงว่า “บั่นจีอก” พอมาเจอเพื่อนเวียดนามที่เป็นคนทางเหนือ คำถามแรกที่หลังจากการถามถึงสารทุกข์สุขดิบนั่นก็คือ การออกเสียงชื่อน้ำตกแห่งนี้ “บั่นซ้ก” คือสิ่งที่เพื่อนเราพูดให้ฟังถึงสิบครั้ง เรื่องนี้คล้ายๆกับจังหวัด Ha Giang ที่มันไม่ใช่ ฮาเจียง ฮาเกียง ฮาจาง หรือห่ายาง แต่มันคือฮาซาง (ออกเสียง Ha ว่าห่า แต่ให้เขียนตัว ฮ เหมือนฮานอย)
อ่านติดตามตอนอื่นๆของทริปนี้ได้ตามลิ้งค์ด้านล่างครับ
ตอนที่ 1 เที่ยวเวียดนามเหนือ 14 วัน – ทะเลสาบบาเบ๋ Ba Be Lake ความโกรธแค้นของมังกร
ตอนที่ 3 เที่ยวเวียดนามเหนือ 14 วัน – แหม่ววั่ก Meo Vac เมืองเล็กๆในหุบเขา
ตอนที่ 4 เที่ยวเวียดนามเหนือ 14 วัน –ดงวัน Dong Vang เมืองที่เราหลงรักที่สุดในเวียดนาม
ตอนที่ 5 เที่ยวเวียดนามเหนือ 14 วัน –ดงวัน Dong Van รางวัลชีวิตสำหรับนักเดินทาง